Glutaraldehyde
ฐานข้อมูล OCCTOX โดยมูลนิธิสัมมาอาชีวะ
Glutaraldehyde
เรียบเรียงโดย นพ.ศรัณย์ ศรีคำ
วันที่เผยแพร่ 6 พฤศจิกายน 2560 ||||| ปรับปรุงครั้งล่าสุด 1 ตุลาคม 2561
แหล่งที่มา หนังสือพิษวิทยาอาชีพ (พิมพ์ครั้งที่ 5)
ชื่อ กลูตาราลดีไฮด์ (Glutaraldehyde)
ชื่ออื่น Glutaral, Glutaric dialdehyde, Glutaric acid dialdehyde, Glutardialdehyde, Cidex, Pentanedial, 1,5-Pentanedial, Pentane-1,5-dial
สูตรโมเลกุล C5H8O2 ||||| น้ำหนักโมเลกุล 100.117 ||||| CAS Number 111-30-8 ||||| UN Number 2810
ลักษณะทางกายภาพ ของเหลวข้นใส ไม่มีสี มีกลิ่นฉุน [1]
คำอธิบาย กลูตาราลดีไฮด์เป็นสารกลุ่มอัลดีไฮด์ (Aldehyde) ชนิดหนึ่ง ลักษณะเป็นของเหลวข้นใส มีกลิ่นฉุน นิยมใช้ในสถานพยาบาลเพื่อแช่ฆ่าเชื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ และใช้ในกระบวนการล้างฟิล์มเอกซเรย์ สารเคมีชนิดนี้ทำให้เกิดอาการระคายเคืองต่อผิวหนังและเยื่อบุ และเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคหอบหืดจากการทำงาน (Occupational asthma)
ค่ามาตรฐานในสถานที่ทำงาน ACGIH TLV (2012): Glutaraldehyde, activated or unactivated C = 0.05 ppm [sensitizer] [2] ||||| NIOSH REL: C = 0.2 ppm (0.8 mg/m3), IDLH = N.D. [3] ||||| OSHA PEL: ไม่ได้กำหนดไว้ [3] ||||| ประกาศกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เรื่อง ขีดจำกัดความเข้มข้นของสารเคมีอันตราย (พ.ศ. 2560): ไม่ได้กำหนดไว้ [4]
ค่ามาตรฐานในร่างกาย ACGIH BEI (2012): ไม่ได้กำหนดไว้ [2]
การก่อมะเร็ง IARC Classification: ไม่ได้กำหนดไว้ [5] ||||| ACGIH Carcinogenicity (2012): A4 (ไม่สามารถจัดกลุ่มว่าเป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์ได้) [2]
แหล่งที่พบ กลูตาราลดีไฮด์มักพบใช้ในอุตสาหกรรมทางการแพทย์ เช่น ใช้แช่ฆ่าเชื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ไม่ทนต่อความร้อน (Heat-sensitive equipment) ซึ่งเรียกกระบวนนี้ว่าการทำสเตอริไลส์แบบเย็น (Cold sterilization) [6-7] อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่นิยมนำมาทำให้ปลอดเชื้อด้วยวิธีนี้ เช่น กล้องส่องหลอดลม (Bronchoscope) กล้องส่องทางเดินอาหาร (Endoscope) อุปกรณ์ล้างไต (Dialysis instrument) อุปกรณ์ผ่าตัด (Surgical instrument) ขวดใส่สายดูดระบาย (Suction bottle) อุปกรณ์ตรวจทาง หู คอ จมูก (Ear, nose, and throat instrument) เป็นต้น [6], ใช้รักษาสภาพเนื้อเยื่อ (Tissue fixative) ในห้องปฏิบัติการทางเนื้อเยื่อวิทยา (Histology) และพยาธิวิทยา (Pathology), เป็นส่วนผสมของน้ำยาล้างและรักษาสภาพ (Developer and fixer) ของฟิล์มเอกซเรย์ (X-ray film) บางสูตรที่ใช้ในแผนกรังสี [6-7] ใช้เป็นยารักษาอาการเหงื่อออกมากผิดปกติ (Hyperhidrosis) และยารักษาหูด (Wart) [7] กลูตาราลดีไฮด์ที่ใช้ในอุตสาหกรรมทางการแพทย์นั้น มักอยู่ในรูปสารละลายเจือจางในน้ำ (Water solution) โดยสามารถพบความเข้มข้นได้ในช่วง 1 – 50 % [6] แต่ที่พบใช้บ่อยจะมีความเข้มข้นอยู่ที่ประมาณ 2 – 3 % [7-8] การใช้ในบางสูตร เช่น การใช้เพื่อแช่ฆ่าเชื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ อาจต้องทำการ “Activation” คือการเติมสารละลายด่าง (Alkali) เช่น กลุ่มไบคาร์บอเนต (Bicarbonate) ลงไปผสม เพื่อให้สารละลายกลูตาราลดีไฮด์เปลี่ยนจากฤทธิ์เป็นกรดกลายเป็นด่างเล็กน้อย บางครั้งจะเปลี่ยนสีไปด้วย เช่น จากใสไม่มีสีกลายเป็นใสสีเขียวออกฟ้า สารละลายที่ใช้ทำการ “Activation” นั้นมักจะแถมมาพร้อมกับสารละลายกลูตาราลดีไฮด์เมื่อซื้อ สารละลายกลูตาราลดีไฮด์ที่ยังไม่ได้ทำการ “Activation” จะเรียกว่า “Unactivated glutaraldehyde” และเมื่อทำการ “Activation” แล้วจะเรียกว่า “Activated glutaraldehyde” นอกจากในอุตสาหกรรมทางการแพทย์แล้ว ยังพบการใช้กลูตาราลดีไฮด์ในอุตสาหกรรมอื่นๆ ได้ด้วย [7-8] เช่น ใช้เป็นสารในการฟอกหนัง (Leather tanning), เป็นสารตัวกลางในอุตสาหกรรมเคมี (Chemical intermediate), เป็นสารฆ่าเชื้อและกำจัดศัตรูพืช เช่น ฆ่าตะไคร่น้ำ (Algaecide) ฆ่าแบคทีเรีย (Bactericide) ฆ่าเชื้อรา (Fungicide) [8], ใช้เป็นสารตัวเชื่อมทางเคมี (Linking material) ของสารกลุ่มโปรตีน (Protein) และโพลีไฮดรอกซี (Polyhydroxy) [7-8], ใช้ผสมอยู่ในเครื่องสำอาง (Cosmetic) และผลิตภัณฑ์ในห้องน้ำ (Toiletry) [7], น้ำยารักษาศพ (Embalming fluid) [8], ใช้เป็นน้ำยาพ่นฆ่าเชื้อในโรงเลี้ยงสัตว์ปีก (Poultry house fogging) และงานรักษาความสะอาดอื่นๆ ในอุตสาหกรรมการเกษตร [8], ใช้ในการปรับสภาพน้ำ (Water treatment) [8], ใช้ในการรักษาสภาพอุปกรณ์พวกแท็งค์และท่อ (Tank and pipeline) ในอุตสาหกรรมน้ำมันและแก๊ส (Oil and gas) [8] เป็นต้น
กลไกการก่อโรค การเกิดพิษของกลูตาราลดีไฮด์นั้นเกิดจากฤทธิ์ก่อความระคายเคืองอย่างรุนแรง (Highly irritating) [9] ทั้งต่อผิวหนัง เยื่อบุตา เยื่อบุทางเดินหายใจ เยื่อบุช่องปากและทางเดินอาหาร [8]
การเตรียมตัวเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน กลูตาราลดีไฮด์อยู่ในรูปสารละลายจึงอาจเกิดอุบัติเหตุจากการหกรดหรือกระเด็นใส่ร่างกายในปริมาณมากได้ พึงระลึกไว้เสมอว่าสารละลายนี้สามารถระเหยได้จึงเข้าสู่ร่างกายผ่านทางการหายใจได้ด้วย การเข้าไปช่วยเหลือผู้ป่วย ผู้เข้าไปช่วยเหลือต้องใส่ชุดป้องกันที่เหมาะสม เช่น ใส่ถุงมือ แว่นตา และชุดป้องกันสารเคมี ใส่หน้ากากป้องกันสารเคมี หากสถานการณ์มีความเสี่ยงสูง เช่น การรั่วไหลจากรถขนส่งในปริมาณมาก อาจต้องใส่ชุดป้องกันแบบที่มีถังบรรจุอากาศในตัว (Self-contained breathing apparatus; SCBA)
อาการทางคลินิก
อาการเฉียบพลัน เมื่อสูดดมหรือสัมผัสไอระเหยทำให้เกิดอาการ แสบจมูก แสบคอ น้ำมูกไหล เลือดกำเดาไหล หายใจลำบาก แน่นหน้าอก หายใจมีเสียงหวีด (Wheezing) เกิดหอบหืดจากการทำงาน (Occupational asthma) แสบตา เยื่อบุตาระคายเคือง ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ คลื่นไส้ [6] โดยเคยมีรายงานพบอาการระบบทางเดินหายใจได้ในบุคลากรทางการแพทย์ เช่น พยาบาลที่ทำงานในห้องส่องกล้อง (Endoscopy nurse), พยาบาลตำแหน่งหน้าที่อื่นๆ ที่ต้องใช้กลูตาราลดีไฮด์ในการฆ่าเชื้ออุปกรณ์, และบุคลากรที่ทำหน้าที่ล้างฟิล์มเอกซเรย์ที่ทำงานอยู่ในห้องมืด (Darkroom) [7,10] รายงานฉบับหนึ่งในปี ค.ศ. 1995 [10] รายงานถึงบุคลากรทางการแพทย์จำนวน 8 รายที่ทำงานสัมผัสกลูตาราลดีไฮด์ในการทำงาน โดยมีระยะเวลาการสัมผัสอยู่ในช่วง 6 เดือน – 23 ปี สามารถยืนยันการวินิจฉัยว่าเป็นโรคหอบหืดจากการทำงานสัมผัสกลูตาราลดีไฮด์ได้ชัดเจนถึง 7 ใน 8 ราย และสงสัยแต่ไม่สามารถวินิจฉัยได้ชัดเจนจำนวน 1 ราย ในรายที่วินิจฉัยได้ชัดเจน ทำการวินิจฉัยโดยการตรวจ Serial peak expiratory flow (Serial PEF) พบลักษณะที่เข้าได้กับโรคหอบหืดจากการทำงานทุกราย และเมื่อทำการตรวจ Specific inhalation challenge test ด้วยสารกลูตาราลดีไฮด์เป็นการยืนยัน พบผลเป็นบวกทุกรายเช่นกัน [10] สำหรับการสัมผัสทางผิวหนัง ที่ความเข้มข้นสูงมากๆ (เช่น สารละลายความเข้มข้น 50 %) อาจทำให้เกิดผิวหนังแสบไหม้ บวมแดง และเกิดเนื้อตายได้ [7] ที่ความเข้มข้นต่ำลงมา (เช่น สารละลายความเข้มข้นไม่เกิน 10 %) จะทำให้เกิดผิวหนังเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล (Tanning or brown discoloration) ระคายเคือง (Irritation) และผื่นผิวหนังอักเสบ (Contact dermatitis) [7] อาการผื่นผิวหนังอักเสบ จะทำให้เกิดรอยแดง คัน นอกจากจะเกิดจากฤทธิ์ระคายเคืองของกลูตาราลดีไฮด์แล้ว ยังมีรายงานผู้ป่วยหลายรายที่พบว่า ผื่นที่เกิดขึ้นจากการทำงานสัมผัสกลูตาราลดีไฮด์นั้นเป็นผื่นแพ้ (Allergic contact dermatitis) ยืนยันได้โดยทำการตรวจ Skin patch test โดยทำการทดสอบด้วยสารละลายกลูตาราลดีไฮด์ 1 % ในน้ำแล้วพบผลบวก (Positive) [7,11-12] ผลของกลูตาราลดีไฮด์ต่อผิวหนังยังอาจทำให้เกิดอาการลมพิษ (Hives) [6] และอาการระคายเคืองจากการแพ้แสง (Photosensitization) ได้ด้วย [7] รายงานการสัมผัสทางผิวหนังในปริมาณค่อนข้างมากรายงานหนึ่งในปี ค.ศ. 2001 [13] ซึ่งเกิดจากอุบัติเหตุสารละลายกลูตาราลดีไฮด์ประมาณ 100 มิลลิลิตร หกรดใบหน้าของเด็กชายอายุ 8 ปีที่กำลังทำการผ่าตัดอยู่ ทำให้เด็กเกิดอาการไข้ อาเจียน หัวใจเต้นเร็ว (Tachycardia) หายใจเร็ว (Tachypnea) และปอดอักเสบจากสารเคมี (Chemical pneumonitis) ภายในวันที่เกิดเหตุ แต่สามารถหายได้เป็นปกติภายในเวลาประมาณ 2 สัปดาห์ ผลต่อระบบทางเดินอาหาร มีรายงานผู้ป่วยที่ทำการส่องกล้องลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy) ได้รับกลูตาราลดีไฮด์จากการตกค้างอยู่ที่พื้นผิว (Surface) และในท่อของกล้องส่อง (Endoscope channel) แล้วเกิดภาวะลำไส้ใหญ่อักเสบจากกลูตาราลดีไฮด์ (Glutaraldehyde colitis) ขึ้นหลายราย [14-15] อาการของโรคนี้จะทำให้ปวดท้องน้อย มีไข้ และอุจจาระเป็นมูกเลือด เกิดภายหลังจากส่องกล้องทางลำไส้ใหญ่ไม่เกิน 48 ชั่วโมง ส่วนใหญ่เป็นแล้วอาการมักหายได้เอง [14-15]
อาการระยะยาว ไม่มีหลักฐานที่บ่งชี้อย่างชัดเจนว่ากลูตาราลดีไฮด์เป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์ [8] และไม่มีหลักฐานยืนยันว่าการได้รับสารนี้ในหญิงตั้งครรภ์จะทำให้เกิดความผิดปกติต่อทารกในครรภ์เมื่อแรกคลอด (Birth defect) [8]
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ ในการวินิจฉัยภาวะพิษจากกลูตาราลดีไฮด์นั้น การซักประวัติการสัมผัสกลูตาราลดีไฮด์เป็นสิ่งที่มีประโยชน์มากที่สุด การตรวจร่างกายตามประวัติ (เช่น ฟังปอด ดูผื่นผิวหนังอักเสบ ดูเยื่อบุตา) การดูตัวอย่างสารเคมีที่สัมผัส การดูสภาพแวดล้อมในการทำงาน และการพิจารณาผลตรวจวัดระดับกลูตาราลดีไฮด์ในสถานที่ทำงาน (ถ้ามี) เป็นสิ่งที่ช่วยในการวินิจฉัยได้มากเช่นกัน ผู้ป่วยที่สงสัยภาวะหอบหืดจากการทำงาน ควรให้ทำ Serial peak expiratory flow หรือทำการตรวจสไปโรเมตรีย์ (Spirometry) ทั้งก่อนและหลังจากการทำงานเพื่อยืนยันการวินิจฉัย การทำ Specific inhalation challenge test ด้วยสารกลูตาราลดีไฮด์ และการทำ Bronchial challenge test เป็นการตรวจที่ค่อนข้างอันตราย ไม่ควรทำถ้าไม่จำเป็น (ส่วนใหญ่จะสามารถวินิจฉัยโรคได้จากการซักประวัติการทำงาน, การตรวจร่างกาย, การทำ Serial peak expiratory flow หรือ Spirometry ก่อนและหลังจากการทำงาน, รวมถึงการทดลองให้หยุดหรือเปลี่ยนงานแล้วอาการดีขึ้น เหล่านี้อยู่แล้ว) หากต้องการจะทำเพื่อการศึกษา ควรให้ทำโดยอายุรแพทย์โรคทรวงอกเท่านั้น การตรวจภาพรังสีทรวงอก (Chest film) จะทำเพื่อคัดกรองแยกโรคทางปอดอื่นๆ ออกจากโรคหอบหืด หรือทำในกรณีสงสัยภาวะปอดอักเสบจากสารเคมี เช่น สูดดมกลูตาราลดีไฮด์เข้าไปปริมาณมาก ถูกสารละลายหกรดจมูกและใบหน้า แล้วมีอาการเข้าได้ เช่น มีไข้ หอบเหนื่อย หายใจลำบาก ในกรณีสงสัยผื่นแพ้จากกลูตาราลดีไฮด์ อาจทดลองให้ใส่ถุงมือป้องกันที่มีประสิทธิภาพ หรือทดลองให้หยุดหรือเปลี่ยนงาน แล้วดูว่าอาการดีขึ้นหรือไม่ก็จะช่วยในการวินิจฉัยได้มาก หากต้องการการวินิจฉัยในระดับยืนยัน ควรส่งพบอายุรแพทย์โรคผิวหนังผู้เชี่ยวชาญด้านผื่นแพ้สัมผัสเพื่อทำการตรวจ Skin patch test
การดูแลรักษา
การปฐมพยาบาล กรณีสารเคมีรั่วไหลหรือหกรดปริมาณมาก นำผู้ป่วยออกจากจุดเกิดเหตุให้เร็วที่สุด ให้อยู่ในที่อากาศถ่ายเท ถอดเสื้อผ้าออก ล้างตัวด้วยน้ำเปล่าให้มากที่สุด ถ้าเข้าตาให้ทำการล้างตาด้วย สังเกตสัญญาณชีพ ใส่ท่อช่วยหายใจถ้าไม่หายใจ ให้ออกซิเจนเสริม ทำการกู้ชีพถ้ามีภาวะหัวใจหยุดเต้น รีบส่งห้องฉุกเฉิน
การรักษา (1.) กรณีสารเคมีรั่วไหลหรือหกรดปริมาณมาก ทำการล้างตัว ตรวจสัญญาณชีพ ทำการกู้ชีพถ้ามีภาวะหัวใจหยุดเต้น ให้ออกซิเจนเสริม รักษาประคับประคองตามอาการ ถ่ายภาพรังสีทรวงอกและเฝ้าระวังภาวะปอดอักเสบจากสารเคมี ถ้ามีประวัติสูดดมไอระเหยเข้าไปในปริมาณมาก หรือหกรดจมูกและใบหน้า ตรวจดวงตาถ้ามีประวัติกระเด็นเข้าตา ส่งพบจักษุแพทย์ถ้ามีภาวะเยื่อบุตาอักเสบมาก ตรวจผิวหนังถ้ามีการหกรดผิวหนัง อาจทำให้เกิดแผลไหม้ เนื้อตาย (ถ้าสารละลายที่หกรดมีความเข้มข้นสูง) หรืออาจเกิดผื่นผิวหนังอักเสบได้ (2.) กรณีเกิดอาการระคายเคือง เช่น ระคายเคืองผิวหนัง แสบตา แสบจมูก น้ำมูกไหล ในขณะทำงาน การรักษาที่ดีที่สุดคือตรวจสภาพของสถานที่ทำงาน แล้วทำการควบคุมทางด้านอาชีวอนามัยเพื่อลดระดับการสัมผัสสารละลายและไอระเหย อาการที่เกิดขึ้นถ้าเป็นมากควรให้ยารักษาตามอาการ (3.) กรณีโรคหอบหืดจากการทำงาน การรักษาที่ดีที่สุดคือให้ผู้ป่วยเปลี่ยนงาน มักจะทำให้อาการดีขึ้น ให้ยาพ่นขยายหลอดลมและลดการอักเสบของหลอดลมเพื่อรักษาอาการที่เกิดขึ้นแล้ว ควรทำการควบคุมทางด้านอาชีวอนามัยเพื่อลดการสัมผัสในเพื่อนร่วมงานของผู้ป่วยคนอื่นๆ ด้วย (4.) กรณีผื่นผิวหนังอักเสบ ให้ยาทาสเตียรอยด์เพื่อลดการอักเสบของผื่นที่เกิดขึ้น ทำการป้องกันการสัมผัสของผิวหนังกับสารละลายโดยตรงโดยการใส่ถุงมือและผ้ากันเปื้อน ถุงมือที่ใช้ควรเป็นถุงมือที่ผลิตจาก Nitrile rubber หรือ Butyl rubber จึงจะป้องกันการสัมผัสได้อย่างมีประสิทธิภาพ [6] ถุงมือที่ผลิตจากน้ำยางธรรมชาติ (Latex gloves) นั้นไม่แนะนำให้ใช้ในการทำงานกับกลูตาราลดีไฮด์ [6]
การป้องกันและเฝ้าระวัง การป้องกันอาการผิดปกติจากกลูตาราลดีไฮด์ที่ดีที่สุดคือการลดการสัมผัส โดยใช้การควบคุมทางด้านอาชีวอนามัย การป้องกันในกรณีใช้กลูตาราลดีไฮด์เพื่อฆ่าเชื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ ควรใช้ในปริมาณเท่าที่จำเป็น ใช้ในความเข้มข้นตามที่บริษัทผู้ผลิตกำหนด ปิดฝาภาชนะที่บรรจุสารละลายกลูตาราลดีไฮด์ไว้เสมอ ใช้สารละลายในสภาพที่เย็นเพื่อลดการระเหย ติดตั้งระบบระบายอากาศเฉพาะที่ (Local exhaust ventilation) หรือตู้ดูดอากาศ (Fume hood) ให้กับอ่างบรรจุสารละลายกลูตาราลดีไฮด์ สวมอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล เช่น ถุงมือ ผ้ากันเปื้อน แว่นตากันกระเด็น หน้ากากป้องกันสารเคมี เมื่อทำงานกับกลูตาราลดีไฮด์ ล้างมือหลังการทำงานกับกลูตาราลดีไฮด์แล้ว (ล้างทั้งในขณะที่ใส่ถุงมือและหลังจากถอดถุงมือ) เป็นต้น [6] การใช้เครื่องล้างกล้องส่องอัตโนมัติ (Automated endoscope washing machine) เป็นวิธีที่ใช้งบประมาณ แต่เชื่อว่าจะช่วยให้ลดการสัมผัสลงได้ [7] อย่างไรก็ตามเคยมีรายงานว่าการใช้เครื่องล้างอัตโนมัติอาจทำให้บุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วยสัมผัสกลูตาราลดีไฮด์มากขึ้นได้เช่นกัน [16] ซึ่งอาจมีสาเหตุจากเครื่องออกแบบไม่ดีหรือเกิดจากการใช้งานที่ไม่ถูกวิธี [16-17] การป้องกันในกรณีใช้กลูตาราลดีไฮด์เพื่อล้างฟิล์มเอกซเรย์ ควรใช้เครื่องล้างฟิล์มอัตโนมัติ (Automatic film processor) เพื่อลดการสัมผัส และติดตั้งระบบระบายอากาศเฉพาะที่ [7] การป้องกันผู้ป่วยไม่ให้เกิดภาวะลำไส้ใหญ่อักเสบจากกลูตาราลดีไฮด์ (Glutaraldehyde colitis) ทำได้โดยเตรียมสารละลายกลูตาราลดีไฮด์ตามวิธีที่บริษัทผู้ผลิตกำหนด เพื่อไม่ให้สารละลายกลูตาราลดีไฮด์ที่ใช้มีความเข้มข้นมากเกินไป [15] และทำความสะอาดกล้องส่องด้วยวิธีการตามที่บริษัทผู้ผลิตกำหนด เช่น ใส่ใจในขั้นตอนการล้างด้วยน้ำ (Rinsing) หากใช้เครื่องล้างกล้องส่องอัตโนมัติจะต้องใช้อย่างถูกวิธีและตรวจสอบระบบของเครื่องล้างให้อยู่ในสภาพดีเสมอ [15] สำหรับการเฝ้าระวังทางสิ่งแวดล้อมการทำงาน ควรตรวจวัดระดับสารเคมีในบริเวณที่ทำงานสม่ำเสมอ และควบคุมไม่ให้เกิดค่ามาตรฐาน การเฝ้าระวังทางสุขภาพ ควรทำการสอบถามอาการผิดปกติจากพนักงานเป็นระยะ เช่น อาการแสบตา แสบจมูก น้ำมูกไหล หายใจลำบาก หายใจมีเสียงหวีด เกิดผื่น หากรายใดมีอาการชัดเจน เช่น มีอาการคล้ายหอบหืด หรือเกิดผื่นผิวหนังอักเสบ ควรส่งพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยและรักษาต่อไป
เอกสารอ้างอิง
International Programme on Chemical Safety. International Chemical Safety Cards (ICSCs). Geneva: International Labour Office; 1998.
American Conference of Governmental Industrial Hygienists (ACGIH). TLVs and BEIs. Cincinnati: ACGIH; 2016.
National Institute for Occupational Safety and Health (NIOSH). NIOSH Pocket guide to chemical hazards (NIOSH Publication No. 2005-149). 3rd printing. Cincinnati: NIOSH; 2007.
ประกาศกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เรื่อง ขีดจำกัดความเข้มข้นของสารเคมีอันตราย. ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 134 ตอนพิเศษ 198 ง. (ลงวันที่ 28 มิถุนายน 2560).
International Agency for Research on Cancer (IARC). IARC Monographs on the evaluation of carcinogenic risks to humans – List of classifications volume 1 – 122 [Internet]. 2018 [cited 2018 Oct 1]. Available from: https://monographs.iarc.fr/list-of-classifications-volumes/.
National Institute for Occupational Safety and Health (NIOSH). Glutaraldehyde: Occupational hazards in hospitals (NIOSH Publication No. 2001-115). Cincinnati: NIOSH; 2001.
Takigawa T, Endo Y. Effects of glutaraldehyde exposure on human health. J Occup Health 2006;48(2): 75-87.
Agency for Toxic Substances and Disease Registry (ATSDR). Toxicological profile for glutaraldehyde [Internet]. 2017 [cited 2018 Oct 1]. Available from: https://www.atsdr.cdc.gov/toxprofiles/tp208.pdf.
Olson KR, Anderson IB, Benowitz NL, Blanc PD, Clark RF, Kearney TE, et. al., editors. Poisoning & drug overdose. 6th ed. New York: McGraw-Hill; 2012.
Gannon PF, Bright P, Campbell M, O'Hickey SP, Burge PS. Occupational asthma due to glutaraldehyde and formaldehyde in endoscopy and X ray departments. Thorax 1995;50(2):156-9.
Jordan WP Jr, Dahl M, Albert HL. Contact dermatitis from glutaraldehyde. Arch Dermatol 1972;105(1): 94-5.
Gonçalo S, Menezes Brandão F, Pecegueiro M, Moreno JA, Sousa I. Occupational contact dermatitis to glutaraldehyde. Contact Dermatitis 1984;10(3):183-4.
Anadol D, Ozçelik U, Kiper N, Göçmen A. Chemical pneumonia caused by glutaraldehyde. Pediatr Int 2001;43(6):701-2.
West AB, Kuan SF, Bennick M, Lagarde S. Glutaraldehyde colitis following endoscopy: clinical and pathological features and investigation of an outbreak. Gastroenterology 1995;108(4):1250-5.
Shih HY, Wu DC, Huang WT, Chang YY, Yu FJ. Glutaraldehyde-induced colitis: case reports and literature review. Kaohsiung J Med Sci 2011;27(12):577-80.
Lynch DA, Parnell P, Porter C, Axon AT. Patient and staff exposure to glutaraldehyde from KeyMed Auto-Disinfector endoscope washing machine. Endoscopy 1994;26(4):359-61.
Greengrass SM. Patient and staff exposure to glutaraldehyde from KeyMed Auto-Disinfector endoscope washing machine. Endoscopy. 1995;27(1):139-40.