เรียบเรียงโดย มูลนิธิสัมมาอาชีวะ
วันที่เผยแพร่ 30 มิถุนายน 2562
บทความนี้นำเนื้อหามาจากหนังสือ “สมรรถนะแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทย”
จัดพิมพ์และเผยแพร่โดยมูลนิธิสัมมาอาชีวะ
เลขมาตรฐานสากลประจำหนังสือ (ISBN) 978-616-8257-07-4
วันที่เผยแพร่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2562
จัดพิมพ์ขึ้นสำหรับแจกฟรีให้แก่ผู้ที่สนใจ
เผยแพร่ภายใต้สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์ แสดงที่มา 3.0 ประเทศไทย (CC: BY 3.0 TH)
อนุญาตให้นำไปใช้อ้างอิง ทำซ้ำ ดัดแปลง และเผยแพร่ต่อได้ โดยต้องแสดงที่มา
ภาพปกโดย S I R I
ภาพปกหนังสือ “สมรรถนะแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทย”
จัดพิมพ์และเผยแพร่โดย มูลนิธิสัมมาอาชีวะ เมื่อ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2562
(คลิกที่นี่ เพื่อดาวน์โหลดหนังสือในรูปแบบไฟล์ PDF)
อาชีวเวชศาสตร์เป็นวิชาที่กำลังเติบโตในประเทศไทย จำนวนของแพทย์ที่ศึกษาศาสตร์เฉพาะทางด้านนี้กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับความตื่นตัวต่อปัญหาที่เกี่ยวข้องกับทางด้านอาชีวอนามัยในสังคมไทย บทบาทและหน้าที่ของแพทย์อาชีวเวชศาสตร์จึงมีมากขึ้น
ปัจจุบันนี้ การสร้างมาตรฐานการปฏิบัติงานของแพทย์เป็นเรื่องที่มีความสำคัญมาก การดำเนินการนี้ทำเพื่อช่วยให้แพทย์ทำงานได้อย่างมีมาตรฐานที่เทียบเคียงกันได้ ซึ่งจะนำไปสู่ความปลอดภัยและสุขภาพที่ดีของผู้ป่วย อาชีวเวชศาสตร์เป็นศาสตร์ทางการแพทย์เฉพาะทางที่จำเป็นต้องมีมาตรฐานการทำงานเช่นกัน วิธีหนึ่งที่จะสร้างมาตรฐานการทำงานขึ้นมาได้ก็คือการจัดทำสมรรถนะของแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ เนื่องจากชุดของสมรรถนะนี้จะช่วยเป็นแนวทางให้แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ได้ทราบขอบเขตการทำงานของตนเอง และช่วยในการพัฒนาความสามารถในการทำงานเพื่อให้ได้มาตรฐาน
ด้วยตระหนักถึงความสำคัญในประเด็นนี้ มูลนิธิสัมมาอาชีวะจึงได้จัดทำและเผยแพร่หนังสือ “สมรรถนะแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทย” เล่มนี้ออกมา หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือเกี่ยวกับสมรรถนะของแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ ที่จัดทำโดยคณะแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ที่ปฏิบัติงานอยู่จริงในประเทศไทย
ในการจัดทำหนังสือเล่มนี้ เราขอขอบคุณผู้ที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำและเผยแพร่ทุกท่านเป็นอย่างสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคณะทำงานทุกท่าน ที่ได้สละเวลาในการอ่านทบทวนและให้ข้อเสนอแนะ เราหวังว่าหนังสือเล่มนี้จะเป็นประโยชน์ต่อแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ทุกคนในประเทศไทย และเป็นเครื่องช่วยให้พวกเขาสามารถทำงาน เพื่อทำให้เกิดสุขภาพที่ดีแก่ชาวไทยทุกคน
มูลนิธิสัมมาอาชีวะ
30 มิถุนายน พ.ศ. 2562
นพ.กานต์ กาญจนพิชญ์
แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ กลุ่มงานอาชีวเวชกรรม รพ.อุดรธานี
พญ.จุฑารัตน์ จิโน
แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพ รพ.กรุงเทพเชียงใหม่
นพ.ณรงฤทธิ์ กิตติกวิน
แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร
พญ.ดาริกา วอทอง
แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ ศูนย์สุขภาพและอาชีวอนามัย รพ.วิภาราม อมตะนคร
พญ.นภัสวรรณ พชรธนสาร
แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ กลุ่มงานอาชีวเวชกรรม รพ.ชลบุรี
นพ.พีรวัฒน์ ตระกูลทวีสุข
แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ กลุ่มงานอาชีวเวชกรรม รพ.สระบุรี
พญ.วิภาสิริ สายพิรุณทอง
แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ ศูนย์อาชีวอนามัยกรุงเทพ รพ.กรุงเทพสำนักงานใหญ่
นพ.วิวัฒน์ เอกบูรณะวัฒน์
แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ แพทย์ที่ปรึกษาบริษัท เพาเวอร์ ควอลิตี้ ทีม จำกัด
นพ.ศุภชัย เอี่ยมกุลวรพงษ์
แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ รองผู้อำนวยการด้านบริการทุติยภูมิและตติยภูมิ รพ.เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ระยอง
นพ.สัจจพล พงษ์ภมร
แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ กลุ่มงานอาชีวเวชกรรม รพ.พระนครศรีอยุธยา
พญ.อัญญาณี สิมะรักษ์อำไพ
แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ กลุ่มงานอาชีวเวชกรรม รพ.เทพรัตน์นครราชสีมา
พญ.อุษณีย์ มหรรทัศนพงศ์
แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ ฝ่ายแพทย์และอนามัย การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
หากท่านมีข้อสงสัยหรือข้อเสนอแนะเกี่ยวกับเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ สามารถติดต่อสอบถามหรือให้ข้อเสนอแนะมาได้ที่ นพ.วิวัฒน์ เอกบูรณะวัฒน์ ทางอีเมล์ wwekburana@gmail.com
หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า “สมรรถนะแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทย” จัดทำและเผยแพร่โดยมูลนิธิสัมมาอาชีวะ ซึ่งเป็นองค์กรทางด้านวิชาการและไม่แสวงผลกำไร ที่ดำเนินงานโดยแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทย เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่ข้อบังคับ เป็นเพียงข้อเสนอแนะเพื่อประโยชน์ต่อสังคมไทยเท่านั้น
ในหนังสือเล่มนี้ มีความรู้และทักษะ 12 หัวข้อ ที่ได้รับการพิจารณาว่าเป็น สมรรถนะแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทย อธิบายโดยสรุปได้ดังนี้
แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ควรมีความรู้และทักษะในเรื่องการเฝ้าระวัง (Surveillance) และการป้องกันโรค (Disease prevention) พวกเขาได้รับการคาดหวังว่าจะทราบหลักการป้องกันโรคในระดับการป้องกันปัจจัยเสี่ยง (Primordial prevention), ระดับปฐมภูมิ (Primary prevention), ระดับทุติยภูมิ (Secondary prevention), และระดับตติยภูมิ (Tertiary prevention) สามารถออกแบบ เลือก ดำเนินการ และประเมินโครงการคัดกรองสุขภาพในประชากรกลุ่มเสี่ยง และสามารถทำการตรวจสุขภาพคนทำงานในโอกาสต่างๆ เช่น ก่อนจ้างงาน (Pre-employment), ก่อนประจำตำแหน่งงาน (Pre-placement), ตามระยะ (Periodic), และเมื่อเกษียณ (Retirement) อย่างมีความรู้เกี่ยวกับสิ่งคุกคามในสถานที่ทำงานและการสัมผัสได้
แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ควรมีทักษะการสื่อสารที่ดี สามารถสื่อสารได้เป็นอย่างดีกับบุคคลอื่นที่อยู่ในสถานะต่างๆ ซึ่งต้องรวมถึงผู้ประกอบวิชาชีพทางด้านอาชีวอนามัยวิชาชีพอื่น แพทย์เฉพาะทางสาขาอื่น นายจ้าง คนทำงาน สหภาพแรงงาน ตัวแทนจากหน่วยงานภาครัฐ ผู้นำชุมชน และชาวบ้าน แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ควรมีทักษะในการให้คำปรึกษาและการสื่อสารความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากปัญหาทางด้านอาชีวอนามัย ควรมีความสามารถในการนำเสนอข้อมูลโดยใช้สื่อชนิดต่างๆ
แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ควรสามารถให้บริการทางคลินิกแก่คนทำงานและประชากรทั่วไปที่ได้รับความเสี่ยงได้ โดยใช้หลักการของเวชศาสตร์อิงหลักฐาน (Evidence-based medicine) การให้บริการทางคลินิกนี้รวมถึงการป้องกัน การวินิจฉัย การรักษา และการฟื้นฟู ความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ควรมีความสามารถในการวินิจฉัยโรคจากการทำงาน สามารถทำการทบทวนเอกสารทางการแพทย์ (Medical document review) และทำการจัดการผู้ป่วย (Case management) ได้ด้วย
แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ควรสามารถทำการศึกษาวิจัยที่เกี่ยวกับทางด้านอาชีวเวชศาสตร์ได้ พวกเขาควรสามารถทำการตั้งคำถามวิจัย ทบทวนวรรณกรรม สร้างสมมติฐาน เลือกรูปแบบงานวิจัยที่เหมาะสม เก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อตอบคำถามวิจัย สร้างข้อสรุป และเผยแพร่ผลงานวิจัยสู่สาธารณะได้
แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ควรสามารถตระหนักรู้ถึงสิ่งคุกคามต่อสุขภาพทางด้านกายภาพ เคมี ชีวภาพ และจิตใจ ที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมทั่วไป เมื่อใดที่เป็นไปได้ พวกเขาควรสามารถบ่งชี้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างการสัมผัสมลพิษในสิ่งแวดล้อมกับผลกระทบต่อสุขภาพ ทั้งในระดับบุคคลและระดับชุมชนได้ ควรเข้าใจบทบาทและหน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญสาขาอื่นๆ ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับงานอนามัยสิ่งแวดล้อม และสามารถทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี
แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ควรมีความรู้เกี่ยวกับกฎหมายและข้อบังคับทางด้านอาชีวอนามัย พวกเขาควรสามารถแนะนำนายจ้าง คนทำงาน สหภาพแรงงาน และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย ในประเด็นเกี่ยวกับกฎหมายและข้อบังคับทางด้านอาชีวอนามัยได้ พวกเขาควรสามารถเขียนรายงานความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ (Expert opinion report) และทำหน้าที่เป็นพยานผู้เชี่ยวชาญ (Expert witness) พวกเขาสามารถใช้หลักจริยธรรมทางการแพทย์ในการประกอบเวชปฏิบัติได้
แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ควรมีความรู้เกี่ยวกับหลักการทางด้านพิษวิทยา พวกเขาควรสามารถบ่งชี้ ประเมิน และจัดการ กับผู้ได้รับผลกระทบจากสารพิษที่พบในการทำงาน พวกเขาสามารถออกแบบและทำการตรวจติดตามทางชีวภาพ (Biological monitoring) ได้
แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ควรมีความสามารถในการประเมินและจัดการความพร้อมในการทำงาน (Fitness to work) ก่อนที่คนทำงานจะเริ่มทำงาน พวกเขาควรสามารถประเมินและจัดการความพร้อมในการทำงานของคนทำงานที่บาดเจ็บหรือเจ็บป่วย ซึ่งกำลังจะกลับไปทำหน้าที่เดิม พวกเขาควรสามารถช่วยเหลือคนทำงานที่บาดเจ็บหรือเจ็บป่วยให้สามารถฟื้นฟูสุขภาพให้ถึงระดับสูงสุดของความสามารถในการทำงานของอวัยวะ (Maximum functional capacity) ได้ภายในช่วงเวลาที่เหมาะสม พวกเขาควรมีความรู้เกี่ยวกับการประเมินการสูญเสียสมรรถภาพและการประเมินความพิการ
แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ควรสามารถทำการเดินสำรวจโรงงาน (Walkthrough survey) เพื่อค้นหาสิ่งคุกคามต่อสุขภาพด้านกายภาพ เคมี ชีวภาพ การยศาสตร์ และจิตใจได้ พวกเขาควรสามารถทำการประเมินความเสี่ยงทางสุขภาพ (Health risk assessment; HRA) และให้คำแนะนำในการลดความเสี่ยง พวกเขาควรเข้าใจหลักการของการตระหนักรู้ ประเมิน และควบคุมสิ่งคุกคาม ควรรู้จักกับค่าขีดจำกัดการสัมผัสจากการทำงาน (Occupational exposure limit; OEL) ที่พบได้บ่อย พวกเขาควรสามารถทำงานร่วมกับนักสุขศาสตร์อุตสาหกรรมในการปกป้องสุขภาพของคนทำงาน
แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ควรสามารถทำงานร่วมกับนายจ้าง ผู้เชี่ยวชาญสาขาอื่น และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย ในการสร้างแผนรับมือเหตุฉุกเฉินขึ้นในสถานประกอบการที่ตนเองรับผิดชอบและชุมชนรอบข้าง พวกเขาควรสามารถเขียนแผนทางการแพทย์สำหรับการรับมือกับเหตุภัยพิบัติในรูปแบบต่างๆ ได้ พวกเขามีความเข้าใจในระบบบัญชาการเหตุการณ์ (Incident command system; ICS) ที่จะใช้เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน พวกเขาสามารถทำงานร่วมกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายในการตอบสนองต่อเหตุการณ์ฉุกเฉิน
แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ควรมีทักษะในการจัดการ (Management) ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานด้านอาชีวอนามัย พวกเขาควรสามารถเป็นผู้จัดการแผนงานหรือโครงการทางด้านอาชีวอนามัย ที่จัดขึ้นภายในองค์กรหรือชุมชนที่ตนเองรับผิดชอบอยู่ได้ ซึ่งทักษะนี้จะต้องรวมถึงการจัดการงบประมาณ การตั้งตัวชี้วัดประสิทธิภาพ และการสร้างความร่วมมือกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับแผนงานหรือโครงการทุกฝ่าย พวกเขาควรสามารถจัดการทรัพยากรมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับงานด้านอาชีวอนามัยได้
แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ควรสามารถจัดทำโครงการสร้างเสริมสุขภาพ (Health promotion program) และโครงการเพื่อสุขภาพดี (Wellness program) ในสถานประกอบการและชุมชนที่ตนเองดูแลรับผิดชอบอยู่ได้ พวกเขาควรสามารถร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพสาขาอื่นๆ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอื่นๆ ในการจัดตั้งทีมงานสร้างเสริมสุขภาพขึ้น พวกเขาสามารถทำการให้สุขศึกษาได้ พวกเขาเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างสุขภาพกับผลิตภาพ (Health and productivity) และยึดมั่นในแนวคิดเรื่องผลิตภาพ (Productivity) ในขณะที่ประกอบวิชาชีพของตนเอง
บทบาทของแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ (Occupational physician) ในประเทศไทยนั้นเพิ่มขึ้นในช่วงกว่ายี่สิบปีที่ผ่านมา ตามการตื่นตัวของปัญหาทางด้านอาชีวอนามัยในสังคมไทยที่มากขึ้น ตั้งแต่มีการเปิดสอบรับรองและขึ้นทะเบียนแพทย์สาขานี้เป็นแพทย์เฉพาะทางในประเทศไทยโดยแพทยสภาในปี พ.ศ. 2539 [1] จำนวนแพทย์ที่เข้ามาทำงานทางด้านนี้ก็มีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง [2] ผลจากการออกกฎหมายทางด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยหลายฉบับในประเทศไทย [3] ช่วยสนับสนุนให้แพทย์อาชีวเวชศาสตร์มีบทบาทสำคัญในการปกป้องสุขภาพและอนามัยที่ดีของลูกจ้าง ผู้ป่วย และชุมชน และยังมีบทบาทที่ดีต่อนายจ้างในฐานะที่เป็นผู้เพิ่มผลิตภาพของสถานประกอบการ ผ่านทางการทำให้คนทำงานมีสุขภาพดี นอกจากนี้ ด้วยปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อมต่อสุขภาพที่เพิ่มพูนขึ้น แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ยังได้รับการคาดหวังจากสังคมให้สามารถจัดการกับปัญหาที่เกี่ยวข้องกับอนามัยสิ่งแวดล้อมได้ด้วย
ด้วยเหตุที่แพทย์อาชีวเวชศาสตร์มีบทบาทสำคัญในประเทศไทย การสร้างมาตรฐานในการปฏิบัติงานของแพทย์เฉพาะทางสาขานี้จึงมีความจำเป็นเพิ่มขึ้น วิธีหนึ่งที่จะทำให้เกิดมาตรฐานในการทำงานคือการจัดทำสมรรถนะสำหรับแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ขึ้นมา เนื่องจากชุดของสมรรถนะนี้จะช่วยให้ทั้งตัวแพทย์อาชีวเวชศาสตร์เอง ผู้มารับบริการ ผู้ร่วมงาน และสังคม มีความเข้าใจในขอบเขตการทำงานของแพทย์อาชีวเวชศาสตร์มากขึ้น เปิดโอกาสให้แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ได้มีประสิทธิภาพในการทำงานที่ดี เป็นแนวทางในการพัฒนาตนเอง และช่วยเป็นหลักยึดในการเติบโตตามสายอาชีพ
มูลนิธิสัมมาอาชีวะ ซึ่งเป็นองค์กรทางด้านวิชาการและไม่แสวงผลกำไร ที่ดำเนินงานโดยแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทย ตระหนักถึงความสำคัญของการมีสมรรถนะสำหรับแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ จึงได้จัดตั้งคณะทำงานเพื่อจัดทำหนังสือ “สมรรถนะแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทย” เล่มนี้ขึ้นมา จุดมุ่งหมายของหนังสือเล่มนี้เพื่อให้เกิดมาตรฐานในการปฏิบัติงานของแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทย โดยหวังให้เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ เนื่องจากเราเป็นองค์กรทางด้านวิชาการและไม่แสวงผลกำไร ดังนั้นมาตรฐานด้านสมรรถนะของแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในหนังสือเล่มนี้จึงเป็นเพียงข้อเสนอแนะให้แก่สังคม การนำมาตรฐานในหนังสือเล่มนี้ไปใช้ให้เป็นไปโดยความสมัครใจ ไม่ได้มีผลบังคับต่อบุคคลหรือองค์กรใดๆ ทั้งสิ้น และการนำเนื้อหาจากหนังสือเล่มนี้ไปใช้สามารถใช้ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
คณะทำงานจัดทำทุกท่านเป็นแพทย์เฉพาะทางสาขาอาชีวเวชศาสตร์ผู้มีประสบการณ์ ที่ทำงานอยู่ในองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน ในการจัดทำหนังสือเล่มนี้ คณะทำงานได้ทำการทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับสมรรถนะของแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ คณะทำงานได้ทบทวนงานวิจัย มาตรฐาน และเอกสาร ที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งรวมถึงสมรรถนะแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศสหรัฐอเมริกา [4], ยุโรป [5-6], ออสเตรเลีย [7], และญี่ปุ่น [8] ด้วย หลังจากทบทวนข้อมูลที่มีอยู่ทั้งหมด คณะทำงานได้ทำการพิจารณาและลงความเห็นร่วมกัน เพื่อให้ได้ชุดของสมรรถนะที่ดีที่สุดสำหรับแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ไทย
ในอดีต เคยมีการศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้องกับสมรรถนะแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทยเผยแพร่อยู่บ้าง ซึ่งบางการศึกษาเป็นการสำรวจความเห็นในกลุ่มแพทย์อาชีวเวชศาสตร์เอง [9-12], บางการศึกษาเป็นการสำรวจความเห็นจากผู้รับบริการ [10,13], และมีหนึ่งการศึกษาที่เป็นการสำรวจความเห็นจากผู้ร่วมงานของแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ [14] การได้รับข้อมูลความเห็นจากหลายภาคฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ช่วยให้คณะทำงานมีความเข้าใจบทบาทและหน้าที่ของแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทยในอดีตมากขึ้น
ผลจากการลงความเห็นร่วมกันของคณะทำงาน พบว่ามีความรู้และทักษะ 12 หัวข้อที่ได้รับการพิจารณาว่าเป็นสมรรถนะที่จำเป็นของแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทย การตัดสินใจนี้อ้างอิงมาจากการศึกษาโดย ณรงฤทธิ์ กิตติกวิน และคณะ ที่เผยแพร่ในปี พ.ศ. 2556 [12] เป็นสำคัญ ซึ่งการศึกษานี้ทำการสำรวจความคิดเห็นจากแพทย์อาชีวเวชศาสตร์จากทุกภาคของประเทศไทย (จำนวน 25 คน) ในประเด็นเกี่ยวกับสมรรถนะของแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ หาความเห็นร่วมโดยใช้เทคนิคเดลฟายแบบปรับปรุง (Modified Delphi technique) ทำเป็นจำนวน 3 รอบ ผลจากการศึกษาพบว่ามี 12 หัวข้อที่ได้รับการพิจารณาว่าเป็นสมรรถนะที่จำเป็นสำหรับแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ เรียงจากจำเป็นมากไปจำเป็นน้อยได้ดังนี้ (1) การเฝ้าระวังและป้องกันโรค, (2) การสื่อสาร, (3) ความรู้และทักษะทางคลินิก, (4) ระเบียบวิธีวิจัย, (5) เวชศาสตร์สิ่งแวดล้อม, (6) กฎหมายและจริยธรรมด้านอาชีวอนามัย, (7) พิษวิทยา, (8) การประเมินความพร้อมในการทำงานและการประเมินการสูญเสียสมรรถภาพ, (9) การตระหนักรู้ ประเมิน และควบคุมสิ่งคุกคาม, (10) การเตรียมพร้อมสำหรับเหตุฉุกเฉิน, (11) การจัดการ, และ (12) การสร้างเสริมสุขภาพ ในการจัดทำสมรรถนะแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในหนังสือเล่มนี้ คณะทำงานพิจารณาแล้วมีความเห็นสอดคล้องที่จะใช้หัวข้อเหล่านี้เป็นแนวทางในการจัดทำด้วยเช่นกัน
ความหมายของคำว่า “สมรรถนะ (Competency)” ในหนังสือเล่มนี้ หมายถึงความรู้และทักษะของแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ ที่เป็นผลมาจากแรงจูงใจ (Motivation), นิสัย (Trait), พฤติกรรม (Behavior), และทัศนคติ (Attitude) ซึ่งมีระดับประสิทธิภาพสูงเพียงพอที่จะทำงานให้สำเร็จได้
รายละเอียดในแต่ละหัวข้อของสมรรถนะแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทย จะถูกอธิบายต่อไปตามลำดับ ในแต่ละหัวข้อจะประกอบไปด้วยส่วนที่เป็น “สมรรถนะหลัก (Core competency)” ซึ่งหมายถึง เป็นความรู้และทักษะที่แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทยทุกคนควรมี และส่วนที่เป็น “สมรรถนะเพิ่มเติม (Additional competency)” ซึ่งหมายถึง เป็นความรู้และทักษะที่แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทยบางคนอาจมีไว้เพื่อประโยชน์ในหน้าที่การงาน โดยไม่เป็นการบังคับ
แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ควรมีความรู้และทักษะในเรื่องการเฝ้าระวัง (Surveillance) และการป้องกันโรค (Disease prevention) พวกเขาได้รับการคาดหวังว่าจะทราบหลักการป้องกันโรคในระดับการป้องกันปัจจัยเสี่ยง (Primordial prevention), ระดับปฐมภูมิ (Primary prevention), ระดับทุติยภูมิ (Secondary prevention), และระดับตติยภูมิ (Tertiary prevention) สามารถออกแบบ เลือก ดำเนินการ และประเมินโครงการคัดกรองสุขภาพในประชากรกลุ่มเสี่ยง และสามารถทำการตรวจสุขภาพคนทำงานในโอกาสต่างๆ เช่น ก่อนจ้างงาน (Pre-employment), ก่อนประจำตำแหน่งงาน (Pre-placement), ตามระยะ (Periodic), และเมื่อเกษียณ (Retirement) อย่างมีความรู้เกี่ยวกับสิ่งคุกคามในสถานที่ทำงานและการสัมผัสได้
สมรรถนะหลัก
ความรู้และทักษะเหล่านี้จัดว่าเป็นสมรรถนะหลักของแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทย ในหัวข้อการเฝ้าระวังและป้องกันโรค แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทยทุกคนควรมีสมรรถนะนี้
เข้าใจหลักการของการเฝ้าระวังและการป้องกันโรค สามารถนำหลักการป้องกันโรคในระดับปัจจัยเสี่ยง (Primordial), ปฐมภูมิ (Primary), ทุติยภูมิ (Secondary), และตติยภูมิ (Tertiary) มาใช้ในการป้องกันโรคจากการทำงานได้
สามารถออกแบบ เลือก ดำเนินการ และประเมิน โครงการคัดกรองสุขภาพในสถานประกอบการตามความเสี่ยงที่คนทำงานได้รับ
สามารถทำโครงการเฝ้าระวังทางสุขภาพในกลุ่มของคนทำงานหรือประชากรที่มีความเสี่ยง ซึ่งเป็นผู้ที่มีความจำเป็นต้องทำการเฝ้าระวังทางสุขภาพ สามารถวิเคราะห์และตรวจพบเหตุการณ์สำคัญ (Sentinel event) จากโครงการเฝ้าระวังทางสุขภาพได้
สามารถทำการตรวจสุขภาพคนทำงานตามปัจจัยเสี่ยงจากงานและปัจจัยเสี่ยงส่วนบุคคล ซึ่งต้องรวมถึงการตรวจสุขภาพในโอกาสต่างๆ คือ ก่อนจ้างงาน (Pre-employment), ก่อนประจำตำแหน่ง (Preplacement), ตามระยะ (Periodic), และเมื่อเกษียณ (Retirement)
สมรรถนะเพิ่มเติม
ความรู้และทักษะเหล่านี้จัดว่าเป็นสมรรถนะเพิ่มเติมของแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทย ในหัวข้อการเฝ้าระวังและป้องกันโรค แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทยบางคนอาจมีสมรรถนะนี้
สร้างและดูแลระบบเฝ้าระวังโรคจากการทำงานในระดับพื้นที่หรือระดับประเทศ คิดค้นและจัดการระบบการรายงานโรคที่มีประสิทธิภาพ (ซึ่งควรเป็นระบบการรายงานผ่านทางเว็บไซต์) สามารถวิเคราะห์ข้อมูลและตรวจพบเหตุการณ์สำคัญ เพื่อจะนำไปสู่การรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคจากการทำงานได้อย่างเหมาะสม
ร่วมมือกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกลุ่มอื่นๆ ในการสร้างหรือขับเคลื่อนนโยบายระดับพื้นที่หรือระดับชาติ ที่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงสภาพแวดล้อมในการทำงาน หรือการปรับปรุงปัจจัยทางด้านสุขภาพ ที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคจากการทำงานขึ้น
แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ควรมีทักษะการสื่อสารที่ดี สามารถสื่อสารได้เป็นอย่างดีกับบุคคลอื่นที่อยู่ในสถานะต่างๆ ซึ่งต้องรวมถึงผู้ประกอบวิชาชีพทางด้านอาชีวอนามัยวิชาชีพอื่น แพทย์เฉพาะทางสาขาอื่น นายจ้าง คนทำงาน สหภาพแรงงาน ตัวแทนจากหน่วยงานภาครัฐ ผู้นำชุมชน และชาวบ้าน แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ควรมีทักษะในการให้คำปรึกษาและการสื่อสารความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากปัญหาทางด้านอาชีวอนามัย ควรมีความสามารถในการนำเสนอข้อมูลโดยใช้สื่อชนิดต่างๆ
สมรรถนะหลัก
ความรู้และทักษะเหล่านี้จัดว่าเป็นสมรรถนะหลักของแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทย ในหัวข้อการสื่อสาร แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทยทุกคนควรมีสมรรถนะนี้
สามารถอธิบายบทบาทและหน้าที่ของแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ให้ผู้อื่นเข้าใจได้
สามารถอธิบายการจัดองค์กรและหน้าที่ของหน่วยงานภาครัฐที่ทำงานเกี่ยวข้องกับงานอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในประเทศไทย เช่น กองโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน
สามารถสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพกับบุคคลอื่นที่อยู่ในสถานะต่างๆ เช่น ผู้ประกอบวิชาชีพทางด้านอาชีวอนามัยวิชาชีพอื่น แพทย์เฉพาะทางสาขาอื่น นายจ้าง คนทำงาน สหภาพแรงงาน ตัวแทนจากหน่วยงานภาครัฐ ผู้นำชุมชน และชาวบ้าน โดยใช้วิธีการสื่อสารที่มีความเหมาะสมกับระดับการศึกษา สถานะทางเศรษฐกิจและสังคม และภาษาที่ใช้
สามารถสื่อสารความเสี่ยงแก่ผู้ได้รับผลกระทบและผู้ที่เกี่ยวข้อง ด้วยการอธิบายระดับของผลกระทบต่อสุขภาพ โดยใช้ภาษาได้ทั้งในทางวิชาการ และภาษาที่คนทั่วไปเข้าใจได้ ตามความเหมาะสมของผู้ฟัง โดยไม่ทำให้เกิดความขัดแย้งเพิ่มขึ้น และไม่ทำให้เกิดความตื่นตระหนกในสถานที่ทำงานหรือในชุมชนที่เกิดเหตุมากจนเกินควร แนะนำวิธีที่จะลดความเสี่ยงให้กับผู้ได้รับผลกระทบและผู้ที่เกี่ยวข้อง ด้วยวิธีการที่ปฏิบัติได้จริง และด้วยความจริงใจ
สามารถให้คำปรึกษาแก่ผู้ป่วยในเรื่องเกี่ยวกับโรคจากการทำงาน สามารถอธิบายลักษณะและการพยากรณ์โรคที่ผู้ป่วยเป็น สามารถแนะนำวิธีการรักษาที่มีในปัจจุบัน วิธีการป้องกันไม่ให้โรคลุกลาม หนทางในการฟื้นฟู และวิธีการคืนสมรรถภาพในการทำงาน ให้โอกาสผู้ป่วยได้เลือกวิธีในการรักษาและการฟื้นฟูสุขภาพของตนเองให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
รู้และสามารถใช้หลักการรักษาความลับของผู้ป่วยในเวชปฏิบัติของตนเอง โดยการเก็บรักษา ถือครอง ทำซ้ำ และเปิดเผย ข้อมูลทางการแพทย์ของผู้ป่วย อย่างถูกต้องตามหลักกฎหมายไทยและระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับสิทธิผู้ป่วย [15-17]
สามารถเขียนบันทึกทางการแพทย์ และรายงานทางการแพทย์ ได้ทั้งภาษาไทยและอังกฤษ
สามารถเขียนรายงานการเดินสำรวจโรงงาน และรายงานการสอบสวนโรค ได้ทั้งภาษาไทยและอังกฤษ
สามารถทำงานกับเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic medical record; EMR) ในระดับผู้ใช้งานได้ เช่น สามารถบันทึกข้อมูลผู้ป่วยเข้าในระบบ สืบค้นข้อมูลประวัติผู้ป่วยในระบบ เขียนและพิมพ์รายงานทางการแพทย์ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้
สามารถนำเสนอข้อมูลด้วยวาจาและทางการเขียนเอกสาร สามารถเตรียมแผ่นภาพนิ่ง (โดยการวาดหรือใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์) เพื่อใช้ประกอบในการนำเสนอข้อมูล
สมรรถนะเพิ่มเติม
ความรู้และทักษะเหล่านี้จัดว่าเป็นสมรรถนะเพิ่มเติมของแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทย ในหัวข้อการสื่อสาร แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทยบางคนอาจมีสมรรถนะนี้
มีทักษะระดับสูงในการสอน สามารถอธิบายเนื้อหาความรู้ทางด้านอาชีวอนามัยที่ซับซ้อนให้ผู้อื่นเข้าใจได้ง่าย สมรรถนะนี้อาจจำเป็นมากโดยเฉพาะสำหรับแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ที่ทำงานเป็นอาจารย์ในโรงเรียนแพทย์หรือสถาบันทางการแพทย์ต่างๆ
สามารถทำงานกับเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ในระดับผู้ดูแลระบบได้ (โดยอาจทำได้ด้วยตนเอง หรือด้วยการช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่สารสนเทศ) เช่น สืบค้นข้อมูลที่มีปริมาณมากจากระบบ วางโครงสร้างการจัดเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับงานอาชีวอนามัยในระบบเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ จัดการข้อมูลในระบบเพื่อให้สามารถนำมาใช้ในการเฝ้าระวังทางสุขภาพหรืองานวิจัยได้
สามารถนำเสนอและจัดเตรียมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับงานอาชีวอนามัยในระดับก้าวหน้า ผ่านช่องทางสื่อต่างๆ เช่น เว็บไซต์ (Website), วิดีโอ (Video), ระบบการเรียนรู้อิเล็กทรอนิกส์ (E-learning system), สื่อโต้ตอบ (Interactive media), แอพพลิเคชั่นสมาร์ทโฟน (Smart phone application) หรือช่องทางอื่นๆ
สามารถใช้ภาษาที่สาม (นอกเหนือจากภาษาไทยและอังกฤษ) ที่เหมาะสมต่อสถานการณ์ในการทำงาน เช่น ภาษาญี่ปุ่น ภาษาจีน หรือภาษาของประเทศอื่นๆ ในกลุ่มอาเซียน
แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ควรสามารถให้บริการทางคลินิกแก่คนทำงานและประชากรทั่วไปที่ได้รับความเสี่ยงได้ โดยใช้หลักการของเวชศาสตร์อิงหลักฐาน (Evidence-based medicine) การให้บริการทางคลินิกนี้รวมถึงการป้องกัน การวินิจฉัย การรักษา และการฟื้นฟู ความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ควรมีความสามารถในการวินิจฉัยโรคจากการทำงาน สามารถทำการทบทวนเอกสารทางการแพทย์ (Medical document review) และทำการจัดการผู้ป่วย (Case management) ได้ด้วย
สมรรถนะหลัก
ความรู้และทักษะเหล่านี้จัดว่าเป็นสมรรถนะหลักของแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทย ในหัวข้อเวชปฏิบัติ แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทยทุกคนควรมีสมรรถนะนี้
สามารถใช้หลักการของเวชศาสตร์อิงหลักฐาน (Evidence-based medicine) ในการประกอบวิชาชีพของตนเอง ทำการศึกษาต่อเนื่องทางการแพทย์ (Continuous medical education) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
รู้ธรรมชาติของโรคจากการทำงาน (Occupational disease) และโรคหรือสภาวะสุขภาพที่เกี่ยวเนื่องกับการทำงาน (Work-related disease or health condition) ที่มีความสำคัญ โดยรู้ถึงลักษณะการเกิดโรค (Onset), ระยะเวลาแฝง (Latency period), อาการและอาการแสดง (Sign and symptom), ปัจจัยเสี่ยง (Risk factor), ช่องทางติดต่อ (Mode of transmission), ความรุนแรง (Severity), การวินิจฉัยแยกโรค (Differential diagnosis), การพยากรณ์โรค (Prognosis), การรักษา (Treatment), และการฟื้นฟู (Rehabilitation)
รู้ถึงอาชีพหรือกระบวนการทำงาน ที่พบได้บ่อยว่าเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคหรือปัญหาสุขภาพจากการทำงานในชุมชนที่ตนเองทำงานอยู่
มีความชำนาญในการซักประวัติอาชีพ เพื่อสืบหาความสัมพันธ์ระหว่างการทำงานกับความเจ็บป่วยของผู้ป่วย สามารถสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับงานที่สำคัญ เช่น ชื่องานที่ทำ (Job title), รายละเอียดงานที่ทำ (Job description), รายละเอียดของแต่ละงานย่อยที่ทำ (Details of each task), ระยะเวลาที่ทำงานแต่ละงานที่ผ่านมา (Periods of employment), สิ่งคุกคามที่พบบ่อย (Common hazard), ระยะเวลาในการสัมผัส (Duration of exposure), ความถี่ในการสัมผัส (Frequency of exposure), ขนาดที่สัมผัส (Dose of exposure), ความเจ็บป่วยของเพื่อนร่วมงาน (Illnesses of coworker), รายละเอียดของงานที่เคยทำในอดีต (Detail of previous job) เป็นต้น สามารถสอบถามถึงสิ่งคุกคามในงานอดิเรก (หรืออาชีพเสริม) และในสิ่งแวดล้อมทั่วไปที่ผู้ป่วยอาจได้รับสัมผัส
สามารถทำการตรวจร่างกายและสั่งการตรวจเพิ่มเติมที่เหมาะสม (เช่น การตรวจเลือด การตรวจปัสสาวะ และการตรวจภาพรังสี) ตามอาการและอาการแสดงของผู้ป่วยที่ปรากฏ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการสืบหาความสัมพันธ์ระหว่างการทำงานกับอาการเจ็บป่วยของผู้ป่วย
สามารถทำการสอบสวนโรคจากการทำงานภายในสถานประกอบการได้
เมื่อมีข้อมูลเพียงพอ สามารถบ่งชี้ความเป็นสาเหตุระหว่างการทำงานกับความเจ็บป่วยของผู้ป่วย (หรือที่เรียกว่า “การวินิจฉัยโรคจากการทำงาน”) ได้ และสามารถอธิบายสิ่งที่ตนเองตรวจพบและสรุปผลในรูปแบบรายงานเอกสาร
สามารถวินิจฉัยและรักษาสภาวะสุขภาพ (ไม่ว่าเกี่ยวเนื่องกับการทำงานหรือไม่) ที่พบได้บ่อยในชุมชนที่ทำงานอยู่ ระดับของสมรรถนะนี้อย่างน้อยควรเท่ากับที่แพทย์เวชปฏิบัติทั่วไปในประเทศไทยทำได้ สามารถส่งตัวคนทำงานที่ต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม หรือทำการรักษาที่ซับซ้อน ไปพบแพทย์เฉพาะทางสาขาอื่นๆ ที่เหมาะสมได้
สามารถให้คำแนะนำที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของผู้ป่วย ซึ่งอาจมีผลต่อการวินิจฉัยและการรักษาความเจ็บป่วย แก่แพทย์เฉพาะทางสาขาอื่นๆ เมื่อได้รับการส่งปรึกษา
มีความสามารถในการทำการทบทวนทางการแพทย์ สามารถประเมินความครบถ้วนและถูกต้องของเวชระเบียนและเอกสารทางการแพทย์ โดยเฉพาะเอกสารที่ใช้ในการเบิกเคลมจากสำนักงานประกันสังคมและกองทุนเงินทดแทน สามารถตรวจสอบคุณภาพของการวินิจฉัยและการรักษาผู้ป่วย ผ่านทางการทบทวนเวชระเบียนได้
สามารถทำงานในบทบาทของผู้จัดการผู้ป่วย (Case manager) ทำการจัดการผู้ป่วย (Case management) ในรายที่มีปัญหาสุขภาพมาเป็นระยะเวลานาน โดยทำการตรวจสอบการวินิจฉัย การรักษา และแผนการฟื้นฟู ทำหน้าที่เป็นตัวแทนทั้งของผู้ป่วยและนายจ้าง ในการประสานงาน ติดตาม และให้ความเห็น (ถ้าจำเป็น) แก่แพทย์ผู้รักษาและบุคลากรทางการแพทย์อื่นๆ ที่ร่วมดูแลผู้ป่วย เพื่อทำให้เกิดความมั่นใจว่าผู้ป่วยจะได้รับการดูแลรักษาอย่างสมเหตุสมผล ทั้งในแง่คุณภาพ ค่าใช้จ่าย และการดูแลเพื่อกลับเข้าทำงาน สมรรถนะนี้เป็นที่ต้องการโดยเฉพาะสำหรับแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ที่ทำงานเป็นแพทย์ประจำสถานประกอบการ
สามารถทำการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน (Basic life support) ให้กับคนทำงานที่อยู่ในสภาวะที่เป็นอันตรายถึงชีวิต (Life-threatening) และสามารถส่งต่อคนทำงานนั้นไปเข้ารับบริการเวชศาสตร์ฉุกเฉินที่เหมาะสมได้
สามารถใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้าจากภายนอกร่างกายแบบอัตโนมัติ (Automated external defibrillator; AED) ได้
มีความรู้และทักษะในการปฐมพยาบาล โดยเฉพาะในกรณีที่เป็นการบาดเจ็บจากการทำงาน เช่น หมดสติเฉียบพลัน แผลเปิด อวัยวะถูกตัดขาด กระดูกหัก แผลไฟไหม้ การบาดเจ็บจากสารเคมีกระเด็นใส่ ถูกไฟฟ้าช็อก
มีความเข้าใจกายวิภาค สรีรวิทยา และพยาธิวิทยา ของระบบหายใจของมนุษย์
สามารถป้องกัน วินิจฉัย รักษา และส่งต่อ ผู้ป่วยโรคปอดจากการทำงานที่สามารถพบได้ในประเทศไทย เช่น โรคปอดฝุ่นอนินทรีย์ (Pneumoconiosis) [ตัวอย่างเช่น ปอดฝุ่นหิน (Silicosis), ปอดใยหิน (Asbestosis), ปอดอลูมิเนียม (Aluminosis), ปอดฝุ่นเหล็ก (Pulmonary siderosis)], โรคปอดฝุ่นฝ้าย (Byssinosis), โรคหอบหืดจากการทำงาน (Occupational asthma), โรคปอดอักเสบภูมิไวเกิน (Hypersensitivity pneumonitis) [ตัวอย่างเช่น ปอดชานอ้อย (Bagassosis)], การบาดเจ็บจากการสูดดมสารเคมี (Chemical inhalation injury)
สามารถสั่งการตรวจและแปลผลการตรวจสไปโรเมตรีย์ (Spirometry) ในงานอาชีวอนามัยได้
สามารถสั่งการตรวจและแปลผลการตรวจภาพรังสีทรวงอก ที่อ่านผลโดยแพทย์ที่ได้รับการรับรอง B reader (รับรองโดย National Institute for Occupational Safety and Health; NIOSH) หรือ AIR-pneumo reader (รับรองโดย The Asian Intensive Reader of Pneumoconiosis Project) ซึ่งเป็นการอ่านภาพรังสีทรวงอกที่ใช้ระบบ ILO International Classification of Radiographs of Pneumoconioses
สามารถทำการตรวจรับรองสุขภาพเพื่อการใช้อุปกรณ์ปกป้องระบบหายใจ (Respirator certification examination) โดยการประเมินสถานะทางสุขภาพของคนทำงาน เทียบกับปริมาณสิ่งคุกคามที่ต้องสัมผัส ความหนักของการออกแรง และชนิดของอุปกรณ์ปกป้องระบบหายใจที่ใช้
สามารถตรวจพบลักษณะของกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด (Myocardial ischemia), กล้ามเนื้อหัวใจตาย (Myocardial infarction), หัวใจเต้นผิดจังหวะ (Cardiac arrhythmia), และความผิดปกติของการนำกระแสไฟฟ้า (Conduction disorder) จากการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจได้
รู้และสามารถจัดการกับผลกระทบต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด ที่เกิดจากสารเคมีเป็นพิษ เช่น คาร์บอนมอนอกไซด์ (Carbon monoxide) และเมทิลีนคลอไรด์ (Methylene chloride) ได้
สามารถประเมินความเสี่ยง (Risk) และความพร้อมในการทำงาน (Fitness to work) ของคนทำงานที่ป่วยเป็นโรคระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่น กล้ามเนื้อหัวใจตาย (Myocardial infarction), หัวใจเต้นผิดจังหวะ (Cardiac arrhythmia) หรือคนทำงานที่ผ่านการดูแลรักษาด้านโรคหัวใจ เช่น การผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ (Coronary artery bypass graft surgery), การใส่ขดลวดหลอดเลือดหัวใจ (Placement of cardiac stents), การฝังเครื่องควบคุมการเต้นของหัวใจหรือเครื่องกระตุ้นหัวใจชนิดฝังในร่างกาย (Implantation of a pacemaker or an implantable cardioverter-defibrillator) โดยเฉพาะในคนทำงานที่ทำหน้าที่ที่มีผลต่อความปลอดภัยของส่วนรวม (Safety-sensitive duty) และที่ต้องใช้แรงกายอย่างมาก (High physical exertion)
สามารถตรวจร่างกายทางระบบประสาท ซึ่งต้องรวมถึงการตรวจสภาพจิต (Mental status), เส้นประสาทสมอง (Cranial nerve), การทำงานของประสาทสั่งการ (Motor function), การทำงานของประสาทสัมผัส (Sensory function), รีเฟล็กซ์เอ็นลึก (Deep tendon reflex), และการทำงานของสมองน้อย (Cerebellar function)
รู้และสามารถจัดการกับผลกระทบต่อระบบประสาท ที่เกิดจากสารเคมีเป็นพิษ เช่น ตัวทำละลายอินทรีย์ (Organic solvent), โลหะ (Metal) และจากสิ่งคุกคามในการทำงาน เช่น การเปลี่ยนแปลงความดันอากาศ (Dysbarism)
สามารถประเมินความเสี่ยง (Risk) และความพร้อมในการทำงาน (Fitness to work) ของคนทำงานที่ป่วยเป็นโรคระบบประสาท เช่น โรคหลอดเลือดสมอง (Cerebrovascular accident), ลมชัก (Epilepsy), ปวดศีรษะไมเกรน (Migraine headache) โดยเฉพาะในคนทำงานที่ทำหน้าที่ที่มีผลต่อความปลอดภัยของส่วนรวม (Safety-sensitive duty)
สามารถตรวจร่างกายทางระบบผิวหนังได้
สามารถป้องกัน วินิจฉัย รักษา และส่งต่อ ผู้ป่วยโรคผิวหนังจากการทำงาน เช่น ผิวหนังอักเสบจากการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ (Allergic contact dermatitis), ผิวหนังอักเสบจากการสัมผัสสารก่อระคายเคือง (Irritant contact dermatitis), ลมพิษจากการสัมผัส (Contact urticaria), ด่างขาวจากการสัมผัส (Contact leukoderma), สิวจากการทำงาน (Occupational acne), มะเร็งผิวหนัง (Skin neoplasm)
รู้จักสารก่อภูมิแพ้ที่เป็นสาเหตุของโรคผิวหนังอักเสบจากการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ ที่พบได้บ่อยในประเทศไทย เช่น นิกเกิล (Nickel), โครเมต (Chromate), โคบอลต์ (Cobalt), น้ำหอม (Fragrance), สารเร่งปฏิกิริยายาง (Rubber accelerator), สีย้อม (Dye), สารกันบูด (Preservative), ยางสน (Colophony), ฟอร์มาลดีไฮด์ (Formaldehyde) สามารถให้คำแนะนำแก่ผู้ป่วยหรือคนทำงานในวิธีการหลีกเลี่ยงการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้เหล่านี้
สามารถให้คำแนะนำแก่ผู้ป่วยและคนทำงานเกี่ยวกับการเลือกถุงมือและผลิตภัณฑ์ปกป้องผิวหนังอื่นๆ ที่มีความเหมาะสม มุ่งหวังเพื่อป้องกันหรือลดความรุนแรงของโรคผิวหนังที่เกิดในคนทำงาน สามารถให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหนังที่มีความเหมาะสม
เข้าใจแนวคิดและวิธีการจัดทำระบบการจัดกลุ่มสารก่อมะเร็ง โดยเฉพาะระบบการจัดกลุ่ม IARC Monographs on the Evaluation of Carcinogenic Risks to Humans โดยองค์กร International Agency for Research on Cancer (IARC)
เมื่อมีข้อมูลเพียงพอ สามารถให้ความเห็นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ในแง่ความเป็นสาเหตุ (Causal relationship) ระหว่างโรคมะเร็งที่คนทำงานเป็นกับสารก่อมะเร็งในงานชนิดที่สงสัยได้
ติดตามความรู้เกี่ยวกับวิธีการตรวจคัดกรองมะเร็งที่เป็นที่ยอมรับในปัจจุบันอยู่เสมอ เพื่อให้สามารถทำการคัดกรองมะเร็งในคนทำงานที่มีความเสี่ยงได้ สามารถเลือก สั่งการตรวจ และแปลผล การตรวจคัดกรองมะเร็ง โดยพิจารณาในประเด็นคุณค่าของการตรวจ (Test value), ความไวและความจำเพาะ (Sensitivity and specificity), ราคา (Cost), และความรุกรานของการตรวจ (Invasiveness) ร่วมด้วย
สามารถให้คำแนะนำแก่คนทำงานที่มีความเสี่ยง ในการปฏิบัติเพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสสารก่อมะเร็งจากการทำงาน
สามารถให้บริการวัคซีนแก่คนทำงานที่มีความเสี่ยง
สามารถควบคุมการติดเชื้อทางอากาศ (Airborne), ทางน้ำ (Waterborne), ทางอาหาร (Foodborne), ทางเลือด (Blood-borne), และทางพื้นผิว (Fomite-borne) สำหรับโรคติดต่อในสถานที่ทำงาน เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อแก่คนทำงาน ลูกค้า และผู้เกี่ยวข้องทุกคน
สามารถป้องกัน สอบสวน วินิจฉัย รักษา ควบคุม และวางแผนรับมือ ต่อการแพร่ระบาดของโรคติดต่อ (เช่น ไข้หวัดใหญ่ หัด อีสุกอีใส) ในสถานที่ทำงาน สามารถกำหนดกฎและมาตรการเพื่อลดความสูญเสียทางสุขภาพและการเงินให้กับสถานประกอบการ ในสถานการณ์ที่เกิดการระบาดของโรคติดต่อขึ้น
รู้วัตถุประสงค์ กระบวนการ และสามารถดำเนินการ ในการกักกันผู้ป่วย (Quarantine), แยกผู้ป่วย (Isolation), และการอพยพ (Evacuation) เมื่อเกิดสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดต่อขึ้นในสถานประกอบการ (โดยเฉพาะสำหรับแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ที่ทำงานเป็นแพทย์หน้างานอยู่ในสถานประกอบการในพื้นที่ห่างไกล) สามารถดำเนินการดังกล่าวได้สอดคล้องกับกฎหมายของไทย เช่น พระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 [18] และหลักสิทธิผู้ป่วย [16]
สามารถดำเนินการเพื่อลดความเสี่ยงของการติดเชื้อทางอุจจาระ-ทางปาก (Fecal-oral transmission) ในคนทำงานสัมผัสอาหาร (Food handler worker) ได้
สามารถดำเนินการเพื่อลดความเสี่ยงในการติดต่อของวัณโรคปอด (Pulmonary tuberculosis) ในสถานที่ทำงานและชุมชน ดำเนินการกับคนทำงานที่เป็นวัณโรคระยะติดต่อ (Active tuberculosis case) ได้อย่างเหมาะสม
สามารถให้คำแนะนำคนทำงานที่เดินทางเพื่อไปติดต่อธุรกิจหรือไปทำงานต่างแดน เกี่ยวกับสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำเพื่อที่จะมีสุขภาพดีและปลอดภัยเมื่ออยู่ในท้องถิ่นหรือประเทศที่เป็นจุดหมาย ทำการให้วัคซีนและยาป้องกันโรคเพื่อลดความเสี่ยงต่อโรคติดเชื้อที่สามารถป้องกันได้ที่พบได้บ่อยในพื้นที่ที่เป็นจุดหมาย ให้คำแนะนำในการป้องกันปัญหาสุขภาพที่สามารถป้องกันได้ (เช่น อาการปวดฟันจากฟันผุ) และความจำเป็นของการทำประกันสุขภาพในต่างแดน
เข้าใจกายวิภาค สรีรวิทยา และพยาธิวิทยา ของระบบกระดูกและกล้ามเนื้อของมนุษย์ เข้าใจหลักของการวัดขนาดร่างกายมนุษย์ (Anthropometry) และชีวกลศาสตร์ (Biomechanics)
สามารถตรวจร่างกายทางระบบกระดูกและกล้ามเนื้อได้
สามารถป้องกัน วินิจฉัย รักษา และส่งต่อ ความผิดปกติของระบบกระดูกและกล้ามเนื้อจากการทำงานที่พบบ่อย เช่น ปวดหลังส่วนล่าง (Low back pain), หมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อน (Spinal disc herniation), ปวดคอและไหล่ (Neck and shoulder pain), กลุ่มอาการปวดพังผืดกล้ามเนื้อ (Myofascial pain syndrome), นิ้วล็อค (Trigger finger), เอ็นและปลอกหุ้มเอ็นอักเสบเดอเคอแวง (de Quervain’s tenosynovitis), กลุ่มอาการอุโมงค์ข้อมือ (Carpal tunnel syndrome), การอักเสบบริเวณข้อศอกด้านนอก (Tennis elbow), การอักเสบบริเวณข้อศอกด้านใน (Golfer’s elbow)
สามารถประเมินความเสี่ยง (Risk) และความพร้อมในการทำงาน (Fitness to work) ของคนทำงานที่มีความผิดปกติของระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ [เช่น ความผิดปกติจากการบาดเจ็บซ้ำๆ (Cumulative trauma disorder), โรคจากความเสื่อม (Degenerative disease)], อาการปวดเฉียบพลันหรือเรื้อรัง (Acute or chronic pain), หรือหลังจากได้รับการผ่าตัดทางกระดูกและข้อ [เช่น ผ่าตัดกระดูกสันหลัง (Spine surgery), ผ่าตัดเข่า (Knee surgery)]
สามารถใช้หลักวิชาการยศาสตร์ (Ergonomics) ในการกำจัดหรือลดความเสี่ยงในการเกิดความผิดปกติของระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ ที่เกิดจากงานที่ต้องทำท่าซ้ำๆ (Cumulative work), งานที่ต้องใช้กำลัง (Forceful work), งานที่อยู่ในท่าที่ไม่สะดวกสบาย (Awkward posture), หรืองานที่มีความสั่นสะเทือน (Vibratory task) ในสถานที่ทำงาน
สามารถเลือก ใช้ และแปลผล เครื่องมือประเมินทางการยศาสตร์ (Ergonomic assessment tool) ในการประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดความผิดปกติของระบบกระดูกและกล้ามเนื้อในงานที่สงสัย สมรรถนะนี้อาจสามารถทำได้โดยขอความช่วยเหลือจากนักการยศาสตร์หรือนักสุขศาสตร์อุตสาหกรรม
สามารถส่งเสริมคนทำงานให้ทำการออกกำลังกายแบบยืดเหยียด (Stretching exercise), เสริมสร้างกล้ามเนื้อ (Strengthening exercise), หรือแอโรบิค (Aerobic exercise) โดยขึ้นกับบริบทที่เหมาะสมต่อคนทำงานรายนั้น เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดความผิดปกติของระบบกระดูกและกล้ามเนื้อจากการทำงาน
รู้หลักการ กระบวนการ ข้อดี และข้อจำกัด ของการออกกำลังกายและเครื่องมือทางกายภาพบำบัดชนิดต่างๆ เช่น อัลตร้าซาวด์ (Ultrasound), ความเย็น (Cold), ความร้อน (Heat), การกระตุ้นเส้นประสาทผ่านทางผิวหนัง (Transcutaneous nerve stimulation) สามารถส่งต่อคนทำงานที่มีข้อจำกัดความสามารถในการทำงาน (Functional capacity limitation) หรือมีอาการปวดเรื้อรัง (Chronic pain) ไปเข้ารับบริการกายภาพบำบัดและเวชศาสตร์ฟื้นฟูได้
รู้หลักการของวิชาอาชีวบำบัด (Occupational therapy), อวัยวะเทียม (Prosthetics), และกายอุปกรณ์ (Orthotics) สามารถส่งคนทำงานรายที่เหมาะสมไปเข้ารับบริการเหล่านี้ได้
เข้าใจกายวิภาค สรีรวิทยา และพยาธิวิทยา ของหู คอ และจมูก ของมนุษย์
สามารถป้องกัน วินิจฉัย รักษา และส่งต่อ ความผิดปกติทางจมูกและช่องคอที่เกิดจากหรือถูกกระตุ้นจากการสัมผัสสิ่งคุกคามในการทำงาน เช่น อาการภูมิแพ้ (Allergy) และจมูกอักเสบ (Rhinitis)
สามารถป้องกัน วินิจฉัย รักษา และส่งต่อ ความผิดปกติทางหูที่เกิดจากหรือมีผลต่อการทำงานที่พบได้บ่อย เช่น ขี้หูอุดตัน (Impacted earwax), สิ่งแปลกปลอมในช่องหู (Ear canal foreign body), แก้วหูทะลุ (Perforated eardrum), การทำงานผิดปกติของท่อยูสเตเชียน (Eustachian tube dysfunction), หูชั้นกลางอักเสบ (Otitis media), หูชั้นนอกอักเสบ (Otitis externa) สามารถจัดการภาวะหูชั้นนอกอักเสบที่เกิดจากการใช้อุปกรณ์ปกป้องการได้ยิน (Hearing protector) เช่น ที่อุดหูลดเสียง (Earplug) ได้
สามารถป้องกัน วินิจฉัย รักษา ส่งต่อ และให้ทางเลือก ในการใช้เครื่องช่วยฟัง (Hearing aid) ในคนทำงานที่มีภาวะสูญเสียการได้ยิน (Hearing loss) ซึ่งรวมถึงโรคประสาทหูเสื่อมจากเสียงดัง (Noise-induced hearing loss) และโรคหูประสาทเสื่อมตามอายุ (Presbycusis)
รู้ธรรมชาติของโรคประสาทหูเสื่อมจากเสียงดัง (Noise-induced hearing loss) ซึ่งรวมถึงระดับเสียงดังที่เป็นอันตราย (Dangerous noise levels), ชนิดของเสียง (Types of noises) [เสียงต่อเนื่อง (Continuous) หรือเสียงกระแทก (Impulsive)], หลักการของภาวะการสูญเสียการได้ยินชั่วคราว (Temporary threshold shift) และถาวร (Permanent threshold shift), ลักษณะการเกิดโรค (Onset), ระดับความรุนแรง (Severity), อาการ (Symptom) [เช่น เสียงในหู (Tinnitus)], ลักษณะที่พบได้บ่อยในออดิโอแกรม [เช่น เป็นทั้งสองข้าง (Bilateral), รุนแรงเท่าๆ กัน (Symmetry), มีรอยบาก (Notch)], สาเหตุที่ทำให้เกิดลักษณะที่พบได้ไม่บ่อย [เช่น เกิดข้างเดียว (Unilateral), สองข้างรุนแรงไม่เท่ากัน (Asymmetry)], ปัจจัยสนับสนุนการเกิดโรค [เช่น ตัวทำละลาย (Solvent), ความสั่นสะเทือน (Vibration), การสูบบุหรี่ (Tobacco smoking)]
สามารถสั่งและแปลผลการตรวจสมรรถภาพการได้ยิน (Audiometry) ในงานอาชีวอนามัยได้
เข้าใจและสามารถแปลผลออดิโอแกรมติดตาม (Monitoring audiogram) เปรียบเทียบกับออดิโอแกรมพื้นฐาน (Baseline audiogram) หรือออดิโอแกรมพื้นฐานใหม่ (Revised baseline audiogram) ของคนทำงานแต่ละรายได้ ตามเกณฑ์การแปลผลแบบต่างๆ ซึ่งรวมถึงเกณฑ์ Standard threshold shift และ Recordable threshold shift ขององค์กร Occupational Health and Safety Administration (OSHA), เกณฑ์ Significant threshold shift ขององค์กร National Institute for Occupational Safety and Health (NIOSH), และเกณฑ์ตามกฎหมายไทย (เช่น ประกาศกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการจัดทำมาตรการอนุรักษ์การได้ยินในสถานประกอบกิจการ [19]).
ร่วมมือกับนักสุขศาสตร์อุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัย นายจ้าง ลูกจ้าง สหภาพแรงงาน และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย ในการผลักดันให้เกิดโครงการอนุรักษ์การได้ยิน (Hearing conservation program) ที่ประสบผลสำเร็จในสถานประกอบการ
สามารถประเมินความเสี่ยง (Risk) และความพร้อมในการทำงาน (Fitness to work) ของคนทำงานที่มีความผิดปกติของหู คอ จมูก เช่น คนทำงานที่มีภาวะสูญเสียการได้ยินอย่างรุนแรง (Profound hearing loss) ซึ่งต้องทำหน้าที่ที่มีผลต่อความปลอดภัยของส่วนรวม (Safety-sensitive duty)
เข้าใจกายวิภาค สรีรวิทยา และพยาธิวิทยา ของระบบการมองเห็นของมนุษย์
สามารถป้องกัน วินิจฉัย ปฐมพยาบาล รักษา และส่งต่อ ความผิดปกติทางตาที่เกิดขึ้นจากการทำงานที่พบได้บ่อย เช่น การบาดเจ็บของดวงตาจากแรงกลและสารเคมี (Eye injuries from mechanical trauma and chemicals), กระจกตาและเยื่อบุตาอักเสบจากรังสีอัลตร้าไวโอเล็ต (Ultraviolet keratoconjunctivitis), เยื่อบุตาอักเสบจากการระคายเคือง (Irritant conjunctivitis), เยื่อบุตาอักเสบจากการติดเชื้อ (Infectious conjunctivitis), และต้อเนื้อ (Pterygium)
สามารถตรวจพบวัสดุแปลกปลอมที่กระจกตา (Corneal foreign body) และส่งต่อผู้ป่วยไปทำการเอาออกได้
สามารถจัดการและควบคุมการระบาดของโรคตาแดงในสถานที่ทำงานได้
สามารถสั่ง ทำการตรวจ และแปลผล การตรวจคัดกรองสมรรถภาพการมองเห็น เช่น ความชัดเจนของการมองภาพระยะไกลและใกล้ (Far and near visual acuities), ลานสายตา (Visual field), การมองจำแนกสี (Color vision), การรับรู้ความลึก (Depth perception) สามารถส่งต่อคนทำงานที่มีความผิดปกติของผลการตรวจไปรับการตรวจประเมินอย่างละเอียดต่อไป
สามารถบ่งชี้และให้คำแนะนำแก่คนทำงานที่มีอาการและอาการแสดงที่ผิดปกติ เช่น มองภาพมัวลงทันทีทันใด (Sudden blurry vision), มองเห็นเงาดำลอยไปมา (Eye floater), เลือดออกในตา (Bleeding in eye) หรือมีสภาวะที่อาจก่อความผิดปกติต่อตา เช่น เป็นโรคเบาหวาน (Diabetes mellitus), กินยาอีแทมบูทอล (Ethambutol) ให้ไปเข้ารับการตรวจตาอย่างละเอียดต่อไป
สามารถนำผลการตรวจสมรรถภาพการมองเห็นมาใช้ประกอบการประเมินความพร้อมในการทำงาน (Fitness to work) ได้
สนับสนุนกิจกรรมการป้องกันปัญหาสมรรถภาพการมองเห็นในสถานที่ทำงาน เช่น การใช้แว่นตานิรภัย (Safety goggles) เพื่อป้องกันวัสดุกระเด็นเข้าตา, การใช้หน้ากากเชื่อม (Welding mask) เพื่อป้องกันกระจกตาและเยื่อบุตาอักเสบจากรังสีอัลตร้าไวโอเล็ต (Ultraviolet keratoconjunctivitis), การป้องกันภาวะตาล้า (Eye strain) ในคนทำงานกับคอมพิวเตอร์
สามารถบ่งชี้โอกาสในการเกิดผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์ในการเจริญพันธุ์ ที่อาจเกิดขึ้นได้ทั้งในเพศหญิงและเพศชาย จากการทำงานสัมผัสสารพิษ [เช่น ตะกั่ว (Lead), ปรอท (Mercury), ยาต้านมะเร็ง (Antineoplastic drug), สารกำจัดศัตรูพืช (Pesticide), ควันบุหรี่ (Tobacco smoke)], เชื้อโรค [เช่น เชื้อไวรัสหัดเยอรมัน (Rubella virus), เชื้อเอชไอวี (Human immunodeficiency virus)], รังสีชนิดก่อไอออน (Ionizing radiation), การทำงานผิดเวลา (Shift working), การยกของหนัก (Heavy lifting) สามารถแนะนำให้คนทำงานที่มีความเสี่ยงหลีกเลี่ยงจากสิ่งคุกคามเหล่านั้น
สามารถดำเนินการหรือแนะนำให้สถานประกอบการมีนโยบาย (Policy), กฎ (Rule), การปรับปรุงงาน (Job modification), หรือการให้เปลี่ยนงานชั่วคราว (Temporary job change) เพื่อป้องกันคนทำงานที่เป็นสตรีตั้งครรภ์ จากการสัมผัสสารเคมีที่เป็นพิษหรือสภาพการทำงานที่เป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ อย่างสอดคล้องกับกฎหมายของไทย เช่น พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 [20]
สามารถให้คำแนะนำและจัดการคนทำงานที่กำลังให้นมบุตร (Lactating worker) ให้สามารถหลีกเลี่ยงการสัมผัสสารเคมีอันตรายที่สามารถผ่านจากมารดาไปสู่บุตรโดยทางน้ำนมได้ ส่งเสริมและสนับสนุนการให้นมบุตร (Breastfeeding) ในสถานประกอบการ
สามารถซักประวัติทางจิตเวช และทำการตรวจสภาพจิต (Mental status examination) ได้
สามารถบ่งชี้ ประเมิน คัดแยก ช่วยเหลือ จัดการ และส่งต่อ ภาวะที่เกี่ยวข้องกับปัญหาทางจิตและการใช้สารเสพติดในสถานประกอบการ เช่น โรคจิต (Psychosis), ภาวะเครียดเรื้อรัง (Chronic stress), ภาวะวิตกกังวลและซึมเศร้า (Anxiety and depression), การฆ่าตัวตาย (Suicide), ความรุนแรง (Violence), ความผิดปกติทางบุคลิกภาพ (Personality disorder), พิษสุราเรื้อรัง (Alcoholism), การใช้สารเสพติด (Substance abuse)
เข้าใจสาเหตุ (Cause) หรือตัวกระตุ้น (Stressor), ลักษณะตามธรรมชาติ (Nature), ผลกระทบต่อสุขภาพ (Health effect), และกลไกการรับมือ (Coping mechanism) ต่อความเครียด (รวมถึงความเครียดจากงาน) สามารถดำเนินการกับคนทำงานที่มีปัญหาความเครียด (รวมถึงผู้ที่มีความคิดอยากฆ่าตัวตาย) ในสถานที่ทำงาน และส่งต่อไปเข้ารับบริการทางจิตเวชได้ตามความเหมาะสม
สามารถเสนอแนะคนทำงานที่มีปัญหาความเครียด การใช้สารเสพติด และปัญหาทางจิตเวชอื่นๆ ให้เข้ารับบริการให้คำปรึกษาในชุมชน หรือบริการทางด้านจิตวิทยาต่างๆ เช่น สายด่วนสุขภาพจิตของภาครัฐ หรือโครงการช่วยเหลือพนักงาน (Employee assistance program; EAP) ที่จัดโดยสถานประกอบการ
ประสานงานกับ นายจ้าง ผู้จัดการ คนทำงาน และผู้เชี่ยวชาญสาขาอื่นๆ ในการค้นหาและลดตัวกระตุ้นความเครียด (Stressor) ภายในสถานประกอบการ
สามารถตรวจคัดกรองสารเสพติดและตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ในสถานประกอบการ สามารถดำเนินการกับคนทำงานที่มีผลตรวจเป็นบวกได้อย่างเหมาะสม
สามารถแนะนำและส่งต่อผู้ที่มีปัญหาติดสารเสพติด ติดสุรา และติดบุหรี่ ไปเข้ารับบริการบำบัดได้อย่างเหมาะสม เมื่อจำเป็น สามารถสนับสนุนหรือให้การช่วยเหลือในการจัดทำโครงการเลิกบุหรี่และเลิกสุราในสถานประกอบการได้
เข้าร่วมในการดำเนินการเพื่อป้องกันความรุนแรงในสถานประกอบการ สามารถบ่งชี้ความเสี่ยงของการเกิดความรุนแรงและการทำร้ายร่างกาย และสามารถดำเนินการตอบสนองต่อปัญหานี้ได้
วางแผนและบริหารจัดการเพื่อลดผลกระทบต่อสุขภาพที่เกิดจากการทำงานผิดเวลา (Shift work) ซึ่งรวมถึงการทำงานกะ (Rotational shift work) ด้วย สามารถแนะนำลูกจ้างในการดำเนินกิจกรรมประจำวันเพื่อลดผลกระทบต่อสุขภาพที่เกิดจากการทำงานผิดเวลา (ผลกระทบนี้รวมถึงภาวะซึมเศร้าและปัญหาการนอนหลับด้วย)
สามารถประเมินความเสี่ยง (Risk) และความพร้อมในการทำงาน (Fitness to work) ของคนทำงานที่มีปัญหาทางจิต เช่น โรคจิต (Psychosis), โรคซึมเศร้า (Major depressive disorder), การใช้สารเสพติด (Substance abuse), พิษสุราเรื้อรัง (Alcoholism) โดยเฉพาะผู้ที่ต้องทำหน้าที่ที่มีผลต่อความปลอดภัยของส่วนรวม (Safety-sensitive duty) ช่วยเหลือให้คนทำงานที่มีปัญหาทางจิตสามารถทำงานได้อย่างปลอดภัย และช่วยเหลือคนทำงานที่มีปัญหาความทนของจิตใจ (Psychological intolerance) ให้สามารถกลับมาทำงานได้ (Return to work)
เข้าใจหลักการของจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์กร (Industrial and organizational psychology) รู้ขอบเขตการให้บริการของศาสตร์นี้ และสามารถทำงานประสานกับนักจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์กรได้
สมรรถนะเพิ่มเติม
ความรู้และทักษะเหล่านี้จัดว่าเป็นสมรรถนะเพิ่มเติมของแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทย ในหัวข้อเวชปฏิบัติ แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทยบางคนอาจมีสมรรถนะนี้
เวชปฏิบัติทั่วไป: มีความเชี่ยวชาญในการวินิจฉัยและรักษาโรคและความผิดปกติทางสุขภาพ ที่พบได้บ่อยในพื้นที่ที่ทำงานอยู่ ด้วยทรัพยากรทางการแพทย์เท่าที่ตนเองมี สมรรถนะนี้อาจจำเป็นต้องมี โดยเฉพาะสำหรับแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ที่ทำงานเป็นแพทย์หน้างานอยู่ในสถานประกอบการในพื้นที่ห่างไกล เช่น บนแท่นกลางทะเล (Offshore platform), สถานประกอบการในป่าลึก (Plant in deep forest)
เวชศาสตร์ฉุกเฉิน: สามารถทำการช่วยชีวิตขั้นสูง (Advanced life support) ให้กับคนทำงานที่อยู่ในสภาวะที่เป็นอันตรายถึงชีวิต (Life-threatening) และสามารถขนส่งคนทำงานรายนั้นไปเข้ารับบริการเวชศาสตร์ฉุกเฉินที่เหมาะสมต่อไปได้ สมรรถนะนี้อาจจำเป็นต้องมี โดยเฉพาะสำหรับแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ที่ทำงานเป็นแพทย์หน้างานอยู่ในสถานประกอบการในพื้นที่ห่างไกล
โรคปอด: สามารถสั่งการตรวจ (หรือส่งตัวผู้ป่วยไปตรวจ) และแปลผล การตรวจเพื่อการวินิจฉัยโรคปอด เช่น การตรวจวัดค่าอัตราการไหลของอากาศสูงสุดและบันทึกผลแบบต่อเนื่อง (Serial peak expiratory flow measurement), การทดสอบการตอบสนองของหลอดลมต่อสารเมตาโคลีนหรือสารก่อโรค (Methacholine or specific inhalation challenge tests), การทดสอบความสามารถในการซึมซ่านแก๊ส (Diffusing capacity test), การทดสอบการออกกำลังหัวใจและปอด (Cardiopulmonary exercise test)
โรคปอด: สามารถทำการตรวจสไปโรเมตรีย์ (Spirometry) ในงานอาชีวอนามัยได้
โรคปอด: สามารถอ่านภาพรังสีทรวงอก (Chest radiograph) โดยใช้ระบบ ILO International Classification of Radiographs of Pneumoconioses และได้รับการรับรองเป็น B reader (รับรองโดย National Institute for Occupational Safety and Health; NIOSH) หรือ AIR-pneumo reader (รับรองโดย The Asian Intensive Reader of Pneumoconiosis Project)
โรคผิวหนัง: สามารถทำการตรวจและแปลผลการตรวจแปะสารทดสอบที่ผิวหนัง (Skin patch testing) ได้
โรคหู คอ จมูก: สามารถทำการตรวจสมรรถภาพการได้ยิน (Audiometry) ในงานอาชีวอนามัยได้
แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ควรสามารถทำการศึกษาวิจัยที่เกี่ยวกับทางด้านอาชีวเวชศาสตร์ได้ พวกเขาควรสามารถทำการตั้งคำถามวิจัย ทบทวนวรรณกรรม สร้างสมมติฐาน เลือกรูปแบบงานวิจัยที่เหมาะสม เก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อตอบคำถามวิจัย สร้างข้อสรุป และเผยแพร่ผลงานวิจัยสู่สาธารณะได้
สมรรถนะหลัก
ความรู้และทักษะเหล่านี้จัดว่าเป็นสมรรถนะหลักของแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทย ในหัวข้อระเบียบวิธีวิจัย แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทยทุกคนควรมีสมรรถนะนี้
สามารถทำการทบทวนวรรณกรรม (Literature review) สามารถสืบค้นและค้นหาเอกสารงานวิจัยที่สนใจจากห้องสมุดและฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์ (Computer database) สามารถทำการประเมินงานวิจัย (Critical appraisal) เพื่อประเมินคุณภาพของงานวิจัยที่สืบค้นมาได้
สามารถออกแบบ (Design) และจัดทำ (Perform) โครงการวิจัย เพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ทางด้านวิทยาศาสตร์ให้กับสังคม หรือเพื่อตอบคำถามปัญหาที่พบในเวชปฏิบัติประจำวัน กระบวนการนี้จะต้องรวมถึงสามารถตั้งคำถามวิจัย (Formulate the research question), ทบทวนวรรณกรรม (Literature review), สร้างสมมติฐาน (Generate hypothesis), เลือกรูปแบบงานวิจัยที่เหมาะสม (Select appropriate research design), เก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อตอบคำถามวิจัย (Collect and analyze data to answer research question), สร้างข้อสรุป (Make conclusion), และเผยแพร่ผลงานวิจัยสู่สาธารณะ (Publish research result) ได้
เข้าใจข้อดี (Advantage) และข้อจำกัด (Limitation) ของงานวิจัยแต่ละรูปแบบ ซึ่งรวมถึงงานวิจัยเชิงพรรณนา (Descriptive research), งานวิจัยเชิงวิเคราะห์ (Analytical research), และงานวิจัยเชิงทดลอง (Experimental research) สามารถเลือกรูปแบบงานวิจัยที่เหมาะสมเพื่อให้เข้ากับคำถามวิจัยที่กำลังสนใจได้
สามารถใช้ความรู้ในวิชาชีวสถิติ (Biostatistics) เพื่อเลือกวิธีการทางสถิติที่เหมาะสมในการทดสอบสมมติฐานงานวิจัย ในกรณีที่คำถามวิจัยและรูปแบบงานวิจัยมีความซับซ้อน สมรรถนะนี้สามารถทำโดยความช่วยเหลือของนักชีวสถิติ (Biostatistician) ได้
สามารถใช้โปรแกรมวิเคราะห์ทางสถิติ (Statistical computer program) ได้อย่างน้อยหนึ่งโปรแกรม ในระดับผู้ใช้งานทั่วไป (General user level) เพื่อใช้รวบรวม จัดการ และวิเคราะห์ข้อมูลวิจัย
สามารถนำเสนอผลงานวิจัยในหลายช่องทาง ซึ่งรวมถึงการนำเสนอปากเปล่า (Oral presentation), การนำเสนอด้วยโปสเตอร์และภาพกราฟิก (Poster and graphic presentations), การเขียนเป็นบทความเพื่อเผยแพร่ลงในวารสารทางการแพทย์ (Write as articles for publishing in medical journals)
เข้าใจและดำเนินการทำวิจัยอย่างมีจริยธรรม ซึ่งต้องรวมถึงการปกป้องผู้เข้าร่วมวิจัยที่เป็นมนุษย์ (Protection of human subjects), การยึดมั่นในกระบวนการแจ้งข้อมูลและให้ความยินยอม (Emphasis on informed-consent processes), การเคารพการรักษาความลับและความเป็นส่วนตัวของผู้เข้าร่วมวิจัย (Respect subjects’ confidentiality and privacy), และการดูแลและใช้สัตว์ทดลองด้วยความเหมาะสม (Appropriate care and use of experimental animals)
สมรรถนะเพิ่มเติม
ความรู้และทักษะเหล่านี้จัดว่าเป็นสมรรถนะเพิ่มเติมของแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทย ในหัวข้อระเบียบวิธีวิจัย แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทยบางคนอาจมีสมรรถนะนี้
มีความเชี่ยวชาญในวิชาชีวสถิติ (Biostatistics)
สามารถใช้โปรแกรมวิเคราะห์ทางสถิติ (Statistical computer program) ได้หลายโปรแกรม ในระดับผู้ใช้งานขั้นสูง (Advanced user level) เพื่อใช้วิเคราะห์ชุดข้อมูลขนาดใหญ่ ด้วยวิธีการทางสถิติที่ซับซ้อน
แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ควรสามารถตระหนักรู้ถึงสิ่งคุกคามต่อสุขภาพทางด้านกายภาพ เคมี ชีวภาพ และจิตใจ ที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมทั่วไป เมื่อใดที่เป็นไปได้ พวกเขาควรสามารถบ่งชี้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างการสัมผัสมลพิษในสิ่งแวดล้อมกับผลกระทบต่อสุขภาพ ทั้งในระดับบุคคลและระดับชุมชนได้ ควรเข้าใจบทบาทและหน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญสาขาอื่นๆ ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับงานอนามัยสิ่งแวดล้อม และสามารถทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี
สมรรถนะหลัก
ความรู้และทักษะเหล่านี้จัดว่าเป็นสมรรถนะหลักของแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทย ในหัวข้อเวชศาสตร์สิ่งแวดล้อม แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทยทุกคนควรมีสมรรถนะนี้
ตระหนักรู้ถึงสิ่งคุกคามต่อสุขภาพทางด้านกายภาพ เคมี ชีวภาพ และจิตใจ ที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมทั่วไป โดยเฉพาะที่พบได้ในภูมิภาคที่ตนเองทำงานอยู่ หรือเป็นที่สนใจในสังคมไทย เช่น เรดอน (Radon), สนามแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic field), อนุภาคขนาดเล็กในอากาศ (Particulate matter), ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (Sulfur dioxide), สารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย (Volatile organic compound; VOC), ตะกั่ว (Lead), สารหนู (Arsenic), แคดเมียม (Cadmium), สารกำจัดศัตรูพืช (Pesticide)
สามารถอธิบายเส้นทางการสัมผัสสิ่งคุกคามต่อสุขภาพที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมทั่วไปทั้งในระดับบุคคลและในระดับชุมชนได้ สามารถระบุแหล่งมลพิษ เส้นทางของมลพิษที่กระจายตัวผ่านตัวกลางทางสิ่งแวดล้อม (ดิน น้ำ อากาศ อาหาร) ช่องทางการสัมผัสเข้าสู่ร่างกาย (การหายใจ การกิน การดูดซึมผ่านผิวหนัง การแผ่รังสี) และสามารถประเมินความเสี่ยงในสถานการณ์ดังกล่าวได้
เมื่อมีข้อมูลมากเพียงพอ ควรสามารถบ่งชี้ถึงความสัมพันธ์แบบเป็นสาเหตุระหว่างมลพิษในสิ่งแวดล้อมกับความเจ็บป่วย ทั้งในระดับบุคคลและระดับชุมชนได้ สามารถแยกแยะสภาวะสุขภาพที่เกี่ยวเนื่องกับการประกอบอาชีพ (Occupational-related condition) จากสภาวะสุขภาพที่เกี่ยวเนื่องกับสิ่งแวดล้อม (Environmental-related condition) ได้
สามารถแนะนำผู้ป่วยหรือผู้ได้รับผลกระทบเกี่ยวกับธรรมชาติของความเจ็บป่วยที่พวกเขาเป็น ซึ่งรวมถึงอาการและอาการแสดง ระยะเวลาที่เกิดความเจ็บป่วย หนทางการรักษา การฟื้นฟู และการพยากรณ์โรค สามารถให้คำแนะนำแก่ผู้ป่วย ผู้ได้รับผลกระทบ รวมถึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ในการลดการสัมผัสมลพิษเพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายต่อสุขภาพในระยะยาวต่อไป
ถ้าได้รับปรึกษา สามารถให้ความเห็นแก่ผู้ก่อมลพิษ ผู้นำชุมชน หน่วยงานภาครัฐ หรือหน่วยงานผู้รับผิดชอบอื่นๆ เกี่ยวกับวิธีควบคุมสิ่งปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม และกระบวนการในการบรรเทาผลกระทบต่อสุขภาพในบุคคลหรือชุมชนที่ได้รับผลกระทบ
เข้าใจบทบาทและหน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญสาขาอื่นๆ ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับงานอนามัยสิ่งแวดล้อม สามารถทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ได้
สามารถให้ความร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญทางด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมสาขาอื่นๆ และหน่วยงานภาครัฐ ในการเข้าร่วมการสอบสวนเหตุการณ์ด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental incident investigation)
สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลทางด้านระบาดวิทยาสิ่งแวดล้อม และสามารถแปลผลการตรวจติดตามมลพิษที่ไม่ซับซ้อนได้ เช่น ผลการตรวจวัดอากาศปล่อยออก (Air emission result), ผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศ (Air quality level), ผลการตรวจวัดคุณภาพน้ำ (Water quality level)
มีความรู้เกี่ยวกับกฎหมายสิ่งแวดล้อมไทยในส่วนที่มีความเกี่ยวข้องกับสุขภาพ รู้การจัดองค์กรและหน้าที่ของหน่วยงานภาครัฐที่ทำงานเกี่ยวข้องกับการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย เช่น กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
สมรรถนะเพิ่มเติม
ความรู้และทักษะเหล่านี้จัดว่าเป็นสมรรถนะเพิ่มเติมของแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทย ในหัวข้อเวชศาสตร์สิ่งแวดล้อม แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทยบางคนอาจมีสมรรถนะนี้
ประสานงานกับผู้เชี่ยวชาญสาขาอื่นๆ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ในการขับเคลื่อนให้เกิดนโยบายหรือการบังคับใช้กฎหมายทางด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม
สามารถแปลผลการตรวจติดตามมลพิษที่มีความซับซ้อน เข้าใจหลักการของแบบจำลองการกระจายตัวในอากาศ (Air dispersion modeling) สามารถใช้ข้อมูลจากระบบการตรวจติดตามมลพิษขนาดใหญ่ เพื่อวัตถุประสงค์ในการเฝ้าระวังทางสุขภาพขนาดใหญ่ได้
สามารถจัดการประเด็นทางสุขภาพที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมที่มีขนาดใหญ่หรือเรื้อรัง โดยการจำกัดการสัมผัสต่อสิ่งปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมในกลุ่มประชากร ทำการบรรเทาผลกระทบต่อสุขภาพเท่าที่สามารถทำได้ และวางแผนในการตรวจติดตามทางสุขภาพในระยะยาว
รู้หลักการและกระบวนการของการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม (Environmental impact assessment; EIA) และการประเมินผลกระทบทางสุขภาพ (Health impact assessment; HIA) สามารถร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญทางด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ในกระบวนการจัดทำ EIA หรือ HIA หรือสามารถอ่านประเมินรายงาน EIA หรือ HIA ได้
แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ควรมีความรู้เกี่ยวกับกฎหมายและข้อบังคับทางด้านอาชีวอนามัย พวกเขาควรสามารถแนะนำนายจ้าง คนทำงาน สหภาพแรงงาน และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย ในประเด็นเกี่ยวกับกฎหมายและข้อบังคับทางด้านอาชีวอนามัยได้ พวกเขาควรสามารถเขียนรายงานความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ (Expert opinion report) และทำหน้าที่เป็นพยานผู้เชี่ยวชาญ (Expert witness) พวกเขาสามารถใช้หลักจริยธรรมทางการแพทย์ในการประกอบเวชปฏิบัติได้
สมรรถนะหลัก
ความรู้และทักษะเหล่านี้จัดว่าเป็นสมรรถนะหลักของแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทย ในหัวข้อกฎหมายและจริยธรรมด้านอาชีวอนามัย แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทยทุกคนควรมีสมรรถนะนี้
มีความรู้ในเรื่องเกี่ยวกับกฎหมายและข้อบังคับทางด้านอาชีวอนามัยในประเทศไทย สามารถแนะนำนายจ้าง คนทำงาน สหภาพแรงงาน และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย ในประเด็นเกี่ยวกับกฎหมายและข้อบังคับทางด้านอาชีวอนามัยได้
มีความคุ้นเคยกับกฎหมายแม่บททางด้านอาชีวอนามัยของประเทศไทย เช่น พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 [20], พระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554 [21], พระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. 2537 [22], พระราชบัญญัติควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2562 [23] และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
สามารถให้การสนับสนุนนายจ้างเพื่อจัดทำนโยบายและระเบียบองค์กร ที่สอดคล้องกับกฎหมายและข้อบังคับทางด้านอาชีวอนามัยของประเทศไทย สามารถตรวจประเมินและให้คำแนะนำ ถ้านโยบายและระเบียบองค์กรที่มีอยู่เดิมนั้น ไม่สอดคล้องกับกฎหมายอาชีวอนามัยไทย
สามารถนำความรู้ในเรื่องกฎหมายและข้อบังคับทางด้านอาชีวอนามัยไปใช้ในเวชปฏิบัติของตนเอง สามารถแนะนำผู้ป่วยเกี่ยวกับสิทธิทางกฎหมายของพวกเขา โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับระบบประกันสังคมและระบบเงินทดแทนของไทย
รู้ขั้นตอนการดำเนินคดีแรงงานในประเทศไทย สามารถเขียนรายงานความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ (Expert opinion report) และทำหน้าที่เป็นพยานผู้เชี่ยวชาญ (Expert witness) ในกระบวนการยุติธรรมได้
มีความคุ้นเคยกับมาตรฐานจริยธรรมทางด้านอาชีวอนามัย เช่น มาตรฐาน International Code of Ethics for Occupational Health Professionals โดยองค์กร International Commission on Occupational Health (ICOH) [24]
สามารถประยุกต์ใช้หลักจริยธรรมทางการแพทย์ในการประกอบเวชปฏิบัติของตนเอง ซึ่งรวมถึงหลักการให้ผู้ป่วยตัดสินใจด้วยตนเอง (Autonomy), การทำสิ่งที่เป็นผลดีต่อผู้ป่วย (Beneficence), การไม่ทำสิ่งที่เป็นผลเสียต่อผู้ป่วย (Non-maleficence), การให้ความยุติธรรมแก่ผู้ป่วย (Justice), การให้ความเคารพในความเป็นบุคคล (Respect for persons), การบอกสิ่งที่เป็นความจริง (Truthfulness), และการมีความจริงใจ (Honesty) แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ควรสามารถทำงานวิจัยอย่างมีจริยธรรมได้
เข้าใจแนวคิดในเรื่องสิทธิมนุษยชนเกี่ยวกับการทำงาน สามารถปกป้องคนทำงานจากการละเมิดสิทธิมนุษยชน (Human rights violation) และการเลือกปฏิบัติ (Discrimination) ในสถานที่ทำงานได้
สมรรถนะเพิ่มเติม
ความรู้และทักษะเหล่านี้จัดว่าเป็นสมรรถนะเพิ่มเติมของแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทย ในหัวข้อกฎหมายและจริยธรรมด้านอาชีวอนามัย แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทยบางคนอาจมีสมรรถนะนี้
ทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญทางด้านอาชีวอนามัยสาขาอื่นๆ ในการขับเคลื่อนให้มีการออกกฎหมายและข้อบังคับทางด้านอาชีวอนามัยมาบังคับใช้ในประเทศไทย โดยเฉพาะกฎหมายที่มีความถูกต้องทางวิชาการมากขึ้น และมีประสิทธิภาพในการปกป้องสุขภาพของคนทำงานและชุมชนมากขึ้น
กระตุ้นและส่งเสริมการดำเนินงานทางด้านอาชีวอนามัยอย่างมีจริยธรรมในสังคมไทย ด้วยความเป็นเลิศและความเป็นมืออาชีพ ผ่านทางวิธีการต่างๆ เช่น การจัดทำโครงการรณรงค์ระดับชาติ การให้รางวัล หรือการบังคับใช้กฎหมาย
แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ควรมีความรู้เกี่ยวกับหลักการทางด้านพิษวิทยา พวกเขาควรสามารถบ่งชี้ ประเมิน และจัดการ กับผู้ได้รับผลกระทบจากสารพิษที่พบในการทำงาน พวกเขาสามารถออกแบบและทำการตรวจติดตามทางชีวภาพ (Biological monitoring) ได้
สมรรถนะหลัก
ความรู้และทักษะเหล่านี้จัดว่าเป็นสมรรถนะหลักของแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทย ในหัวข้อพิษวิทยา แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทยทุกคนควรมีสมรรถนะนี้
เข้าใจหลักการพื้นฐานทางด้านพิษวิทยา ซึ่งรวมถึงเรื่องขนาดและการตอบสนอง (Dose and response), ลักษณะของผลกระทบ (Types of effects) [เช่น เฉียบพลันและเรื้อรัง (Acute and chronic), กลับเป็นแบบเดิมได้และกลับเป็นแบบเดิมไม่ได้ (Reversible and irreversible), เฉพาะที่และตามระบบ (Local and systemic), การก่อมะเร็ง (Carcinogenic), การก่อผลต่อทารกในครรภ์ (Teratogenic), การก่อกลายพันธุ์ (Mutagenic)], ขนาดที่ทำให้ตาย (Lethal dose), พิษจลนศาสตร์ (Toxicokinetics), พิษพลวัต (Toxicodynamics), ความไวรับและความทน (Susceptibility and tolerance), ช่องทางการสัมผัส (Route of exposure), ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสารเคมี (Interactions between chemicals) [เช่น แบบบวกรวมกัน (Additive), แบบเสริมฤทธิ์กัน (Synergistic)], ตัวกลางทางสิ่งแวดล้อม (Environmental media), สารแปลกปลอม (Xenobiotic)
สามารถบ่งชี้ คัดแยก ประเมิน จัดการ รักษา ให้ยาต้านพิษ (Antidote) และส่งต่อ ผู้ได้รับผลกระทบ (หรือมีโอกาสได้รับผลกระทบ) จากสารพิษที่พบในการทำงาน รู้อาการและอาการแสดงทางคลินิก (ทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง) ของสารพิษที่พบบ่อยในพื้นที่หรือชุมชนที่ตนเองทำงานอยู่
สามารถให้คำแนะนำแก่คนทำงานที่ได้รับสัมผัส (หรือมีโอกาสได้รับสัมผัส) สารพิษจากอุตสาหกรรม สามารถให้คำแนะนำแก่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาอื่นหรือบุคลากรทางสุขภาพวิชาชีพอื่น ที่เป็นผู้ทำการรักษาหรือดูแลผู้ป่วยที่ได้รับสัมผัสสารเคมีจากอุตสาหกรรม เมื่อได้รับการปรึกษา
สามารถเข้าถึง แปลผล และใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูลพิษวิทยา (Toxicology database) สามารถร้องขอและแปลผลข้อมูลเกี่ยวกับสารเคมีที่อยู่ในเอกสารข้อมูลความปลอดภัย (Safety data sheet; SDS) สามารถทบทวนข้อมูลความเป็นพิษของสารเคมีที่สนใจจากแหล่งที่น่าเชื่อถือได้
สามารถแนะนำนายจ้างเกี่ยวกับการเลือก ใช้ และควบคุม สารเคมีในกระบวนการผลิต โดยคำนึงถึงความปลอดภัยและสุขภาพของคนทำงาน
สามารถจัดทำแผนทางการแพทย์ เพื่อรับมือกับเหตุการณ์การสัมผัสต่อสารเคมีเป็นพิษในสถานประกอบการ ซึ่งรวมถึงกระบวนการชำระล้างสิ่งปนเปื้อนและการปฐมพยาบาล (Process of decontamination and first-aid), การจัดการและส่งต่อผู้ประสบภัย (Management and referral of victims), เกณฑ์ในการให้ยาต้านพิษ (Criteria to give antidotes), การเตรียมพร้อมในสถานการณ์ที่มีผู้ประสบภัยจำนวนมาก (Preparation for multiple-casualty situation) เช่น กรณีสารเคมีรั่วไหล (Chemical leakage), การจัดตั้งทีมตอบสนองต่อเหตุการณ์ (Assignment of response teams)
มีส่วนร่วมในกระบวนการเลือกและแจกจ่ายยาต้านพิษ ให้แก่ห้องปฐมพยาบาลของโรงงาน คลินิก หรือโรงพยาบาล ที่อยู่ในความรับผิดชอบของตนเอง
รู้และสามารถแปลความหมายสัญลักษณ์บ่งบอกความอันตรายของสารเคมี ที่ออกแบบโดยองค์กรต่างๆ ได้ เช่น GHS hazard pictograms ของระบบ Globally Harmonized System of Classification and Labeling of Chemicals (GHS) โดยองค์กร United Nations (UN) และ NFPA 704 Standard System (Fire diamond) โดยองค์กร National Fire Protection Association (NFPA)
สามารถทำการเฝ้าระวังทางการแพทย์ให้กับคนทำงานที่สัมผัสสารเคมีในสถานประกอบการด้วยการตรวจติดตามทางชีวภาพ (Biological monitoring) สามารถเลือกและสั่งการตรวจตัวบ่งชี้ทางชีวภาพ (Biological marker) ได้อย่างถูกชนิด ควบคุมคุณภาพการตรวจ และแปลผลการตรวจตัวบ่งชี้ทางชีวภาพได้
สมรรถนะเพิ่มเติม
ความรู้และทักษะเหล่านี้จัดว่าเป็นสมรรถนะเพิ่มเติมของแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทย ในหัวข้อพิษวิทยา แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทยบางคนอาจมีสมรรถนะนี้
เข้าใจประโยชน์ ข้อจำกัด และข้อเสีย ของการรักษาด้วยคีเลชั่น (Chelation therapy) สามารถทำการรักษาด้วยคีเลชั่นในผู้ป่วยเฉพาะรายที่จะได้รับประโยชน์จากการรักษาด้วยวิธีนี้
สามารถให้ความรู้ทางด้านพิษวิทยาอาชีพ (Occupational toxicology) แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เช่น คนทำงาน นายจ้าง และผู้ประกอบวิชาชีพทางด้านสุขภาพอื่นๆ
แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ควรมีความสามารถในการประเมินและจัดการความพร้อมในการทำงาน (Fitness to work) ก่อนที่คนทำงานจะเริ่มทำงาน พวกเขาควรสามารถประเมินและจัดการความพร้อมในการทำงานของคนทำงานที่บาดเจ็บหรือเจ็บป่วย ซึ่งกำลังจะกลับไปทำหน้าที่เดิม พวกเขาควรสามารถช่วยเหลือคนทำงานที่บาดเจ็บหรือเจ็บป่วยให้สามารถฟื้นฟูสุขภาพให้ถึงระดับสูงสุดของความสามารถในการทำงานของอวัยวะ (Maximum functional capacity) ได้ภายในช่วงเวลาที่เหมาะสม พวกเขาควรมีความรู้เกี่ยวกับการประเมินการสูญเสียสมรรถภาพและการประเมินความพิการ
สมรรถนะหลัก
ความรู้และทักษะเหล่านี้จัดว่าเป็นสมรรถนะหลักของแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทย ในหัวข้อการประเมินความพร้อมในการทำงานและการประเมินการสูญเสียสมรรถภาพ แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทยทุกคนควรมีสมรรถนะนี้
เข้าใจหลักการของการประเมินความพร้อมในการทำงาน (Fitness to work evaluation) ซึ่งรวมถึง (1) นิยามของคำว่าการสูญเสียสมรรถภาพ (Impairment) กับการสูญเสียความสามารถ (Disability), (2) อิริยาบถพื้นฐานของมนุษย์ (Basic human function), (3) การประเมินความต้องการของงานที่จะทำ (Work demand) และความสามารถที่จะทำได้ของร่างกายและจิตใจ (Physical & mental supplies), (4) หลักคิดในเรื่องความเสี่ยง (Risk), ความสามารถสูงสุด (Capacity), และความทน (Tolerance), และ (5) นิยามของคำว่าการงดเว้นการทำงาน (Work restriction) และการจำกัดการทำงาน (Work limitation)
รู้กฎหมายแรงงานไทยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องความพร้อมในการทำงาน (Fitness to work) และการประเมินก่อนกลับเข้าทำงาน (Return to work evaluation) สามารถให้คำแนะนำแก่คนทำงานในเรื่องนี้ได้ สามารถแนะนำนายจ้างและตัวแทนนายจ้าง (เช่น ผู้จัดการหรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายทรัพยากรมนุษย์) ในการที่จะไม่ละเมิดกฎหมายแรงงานไทย เมื่อพวกเขาต้องตัดสินใจเกี่ยวกับประเด็นความพร้อมในการทำงานและการกลับเข้าทำงานของคนทำงาน
มีความชำนาญในการประเมินความต้องการของงานที่จะทำ (Work demand) เปรียบเทียบกับความสามารถที่จะทำได้ของร่างกายและจิตใจ (Physical & mental supplies) ในแง่ของความเสี่ยง (Risk), ความสามารถสูงสุด (Capacity), และความทน (Tolerance) ภายใต้เงื่อนไขตามกฎหมายไทย และกฎระเบียบขององค์กรที่คนทำงานนั้นทำงานอยู่ สามารถแปลความผลที่ตรวจประเมินได้ให้อยู่ในรูปของคำแนะนำในการงดเว้นการทำงาน (Work restriction) และการจำกัดการทำงาน (Work limitation) เพื่อให้นายจ้างและหัวหน้างานเข้าใจ
สามารถทำการประเมินความพร้อมในการทำงาน ก่อนที่คนทำงานจะเข้าประจำตำแหน่งหน้าที่ใดๆ โดยเฉพาะตำแหน่งหน้าที่ที่มีการระบุไว้ในกฎหมายไทยให้ทำการประเมิน หรือตำแหน่งหน้าที่ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น คนทำงานในที่อับอากาศ คนทำงานบนแท่นกลางทะเล คนทำงานดำน้ำ คนทำงานบนเรือเดินทะเล คนขับยานพาหนะและขับเครน คนทำงานในพื้นที่ชนบทห่างไกล
มีความสามารถในการประเมินความพร้อมในการทำงานของคนทำงานที่มีสภาวะความผิดปกติประจำตัว เช่น โรคระบบหัวใจและหลอดเลือด (เช่น โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด), โรคระบบหายใจ (เช่น โรคหอบหืด), โรคระบบประสาท (เช่น โรคลมชัก), โรคระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ (เช่น โรคเข่าเสื่อม), โรคระบบต่อมไร้ท่อ (เช่น โรคเบาหวาน), ความผิดปกติของตา (เช่น มองภาพไม่ชัดเจน), ความผิดปกติของระบบหู คอ จมูก (เช่น สูญเสียการได้ยิน) และอื่นๆ สามารถให้คำแนะนำแก่นายจ้างของคนทำงานเหล่านี้ เกี่ยวกับการงดเว้นการทำงาน (Work restriction) และการจำกัดการทำงาน (Work limitation) เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อคนทำงาน เพื่อนร่วมงานของเขา และสาธารณะ
ให้ความสนใจกับผลกระทบ (เช่น ง่วงซึม ปฏิกิริยาการตอบสนองของร่างกายช้าลง ขาดสมาธิ) ของสารออกฤทธิ์ทางจิต (Psychoactive agent) (เช่น ยาที่ทำให้ง่วง แอลกอฮอล์ ยาเสพติด ตัวทำละลายที่ใช้ในงานอุตสาหกรรม) ต่อความพร้อมในการทำงานของคนทำงาน และสามารถจัดการกับปัญหานี้ได้เมื่อประกอบเวชปฏิบัติ
สามารถประเมินความพร้อมในการทำงานของคนทำงานกลุ่มพิเศษ ที่จำเป็นต้องได้รับการดูแลมากกว่าปกติ เช่น คนพิการ ผู้สูงอายุ สตรี คนทำงานตั้งครรภ์ คนทำงานที่กำลังให้นมบุตร สามารถปกป้องคนทำงานกลุ่มเหล่านี้ให้สามารถทำงานได้อย่างปลอดภัยโดยวิธีการต่างๆ เช่น การปรับสภาพการทำงาน หรือการเปลี่ยนงานชั่วคราว
สามารถทำการประเมินและดูแลความพร้อมในการกลับเข้าทำงาน ให้กับคนทำงาน (ผู้ป่วย) ที่ประสบกับการบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยอย่างรุนแรง สามารถให้คำแนะนำกับหัวหน้างานเกี่ยวกับการงดเว้นการทำงาน (Work restriction) และการจำกัดการทำงาน (Work limitation) แนะนำทางเลือกในการจัดการกับคนทำงานที่ความต้องการของงานที่จะทำ (Work demand) มากเกินกว่าความสามารถที่จะทำได้ของร่างกายและจิตใจ (Physical & mental supplies) เช่น การปรับหน้างานให้มีความสะดวกขึ้น การเปลี่ยนงานชั่วคราว การย้ายตำแหน่งงานถาวร การส่งไปเข้ารับการบำบัดเพื่อให้ประกอบอาชีพได้ หรือการให้ออกจากงานด้วยเหตุเจ็บป่วยพร้อมกับจ่ายเงินค่าชดเชย (กรณีที่ไม่มีวิธีอื่นที่ดีกว่าแล้ว) สนับสนุนนายจ้างและแนะนำคนทำงาน ให้เลือกหนทางแก้ปัญหาที่คนทำงานผู้นั้นจะยังคงสามารถทำงานได้ ให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
สามารถบ่งชี้และจัดการกับคนทำงาน (ผู้ป่วย) ที่มีการฟื้นตัวล่าช้า (Delayed recovery) ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีอาการปวดเรื้อรังร่วมด้วยก็ตาม ซึ่งเป็นภาวะที่เป็นอุปสรรคต่อการกลับเข้าทำงาน
ช่วยเหลือคนทำงานที่บาดเจ็บหรือเจ็บป่วยให้ฟื้นตัวถึงระดับสูงสุดของความสามารถในการทำงานของอวัยวะ (Maximum functional capacity) เท่าที่เป็นไปได้ และในระยะเวลาที่เหมาะสม โดยการส่งตัวคนทำงานไปเข้ารับการฟื้นฟูสุขภาพ ร่วมมือกับผู้ประกอบวิชาชีพทางสุขภาพสาขาอื่นๆ (เช่น แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู ศัลยแพทย์โรคกระดูกและข้อ นักกายภาพบำบัด นักอาชีวบำบัด นักอวัยวะเทียมและกายอุปกรณ์) ในการเลือกกระบวนการรักษาและฟื้นฟูที่เหมาะสม เพื่อช่วยให้คนทำงานยังคงมีโอกาสในการทำงาน (ไม่สูญเสียงาน) และกลับเข้าทำงานได้อย่างปลอดภัย
รู้จักกับศูนย์ฟื้นฟูเพื่อการประกอบอาชีพในประเทศไทย เช่น ศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพคนงาน สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน สามารถแนะนำคนทำงานที่สูญเสียความสามารถในการทำงาน ที่จะได้รับประโยชน์จากการฟื้นฟู ไปเข้ารับบริการที่ศูนย์เหล่านี้ได้
รู้กฎหมายและแนวทางของประเทศไทยที่เกี่ยวข้องกับการประเมินการสูญเสียสมรรถภาพ (Impairment rating) และการประเมินความพิการ (Permanent disability assessment) รู้กระบวนการในการจ่ายเงินทดแทนในประเทศไทย และสามารถแนะนำคนทำงานที่สูญเสียสมรรถภาพให้ทราบเกี่ยวกับเรื่องเงินทดแทนและสิทธิประโยชน์ที่พวกเขาควรได้รับ
สามารถทำการประเมินการสูญเสียสมรรถภาพด้วยระบบ Whole-person impairment rating ตามเกณฑ์ใน คู่มือแนวทางการประเมินการสูญเสียสมรรถภาพกายและจิต ฉบับเฉลิมพระเกียรติในโอกาสการจัดงานฉลองสิริราชสมบัติครองราชย์ 60 ปี (ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 3) [25] หรือฉบับที่ใหม่กว่า และสามารถเขียนรายการผลการประเมินการสูญเสียสมรรถภาพได้
สมรรถนะเพิ่มเติม
ความรู้และทักษะเหล่านี้จัดว่าเป็นสมรรถนะเพิ่มเติมของแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทย ในหัวข้อการประเมินความพร้อมในการทำงานและการประเมินการสูญเสียสมรรถภาพ แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทยบางคนอาจมีสมรรถนะนี้
รู้ข้อบ่งชี้ (Indication) และข้อจำกัด (Limitation) ของการตรวจประเมินความสามารถสูงสุดในการทำงานในอิริยาบถต่างๆ (Functional capacity evaluation; FCE) สามารถส่งคนทำงานไปเข้ารับการตรวจนี้และแปลผลการตรวจได้
สามารถทำการประเมินความพิการตามเกณฑ์ในกฎหมายไทย เช่น ประกาศกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เรื่อง ประเภทและหลักเกณฑ์ความพิการ [26]
แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ควรสามารถทำการเดินสำรวจโรงงาน (Walkthrough survey) เพื่อค้นหาสิ่งคุกคามต่อสุขภาพด้านกายภาพ เคมี ชีวภาพ การยศาสตร์ และจิตใจได้ พวกเขาควรสามารถทำการประเมินความเสี่ยงทางสุขภาพ (Health risk assessment; HRA) และให้คำแนะนำในการลดความเสี่ยง พวกเขาควรเข้าใจหลักการของการตระหนักรู้ ประเมิน และควบคุมสิ่งคุกคาม ควรรู้จักกับค่าขีดจำกัดการสัมผัสจากการทำงาน (Occupational exposure limit; OEL) ที่พบได้บ่อย พวกเขาควรสามารถทำงานร่วมกับนักสุขศาสตร์อุตสาหกรรมในการปกป้องสุขภาพของคนทำงาน
สมรรถนะหลัก
ความรู้และทักษะเหล่านี้จัดว่าเป็นสมรรถนะหลักของแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทย ในหัวข้อการตระหนักรู้ ประเมิน และควบคุมสิ่งคุกคาม แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทยทุกคนควรมีสมรรถนะนี้
สามารถทำการเดินสำรวจโรงงาน (Walkthrough survey) เพื่อค้นหาสิ่งคุกคามต่อสุขภาพด้านกายภาพ เคมี ชีวภาพ การยศาสตร์ และจิตใจ ภายในสถานประกอบการต่างๆ ได้
เข้าใจหลักการของการประเมินความเสี่ยงทางสุขภาพ (Health risk assessment; HRA) สามารถทำการประเมินระดับความเสี่ยงของสิ่งคุกคามต่อสุขภาพชนิดต่างๆ ในสถานประกอบการได้ สามารถให้คำแนะนำแก่นายจ้าง คนทำงาน และผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ในการลดความเสี่ยงเหล่านั้น
เข้าใจหลักการพื้นฐานทางด้านสุขศาสตร์อุตสาหกรรม (Industrial hygiene) ซึ่งรวมถึงเรื่องการตระหนักรู้ (Recognition), การประเมิน (Evaluation), และการควบคุม (Control) สิ่งคุกคามต่อสุขภาพชนิดต่างๆ สามารถร่วมมือกับนักสุขศาสตร์อุตสาหกรรม (Industrial hygienist) ในการปกป้องสุขภาพของคนทำงาน
รู้หลักการของค่าขีดจำกัดการสัมผัสจากการทำงาน (Occupational exposure limit; OEL) เข้าใจความหมายของคำว่า Time-weighted average (TWA), Short-term exposure limit (STEL), และ Ceiling (C) เข้าใจนิยามของคำว่า Acceptable maximum peak (ที่กำหนดโดยองค์กร OSHA)
มีความคุ้นเคยกับค่า OEL ที่พบได้บ่อย เช่น ค่า Permissible exposure limit (PEL) ขององค์กร OSHA, Recommended exposure limit (REL) ขององค์กร NIOSH, ค่า Threshold limit value (TLV) ขององค์กร American Conference of Governmental Industrial Hygienists (ACGIH) มีความคุ้นเคยกับค่า OEL ที่ใช้ในกฎหมายไทย เช่น ประกาศกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เรื่อง ขีดจำกัดความเข้มข้นของสารเคมีอันตราย [27]
สามารถแปลผลการตรวจติดตามทางสิ่งแวดล้อม (Environmental monitoring result) ของสถานประกอบการ ที่รายงานโดยนักสุขศาสตร์อุตสาหกรรมได้
สามารถให้คำแนะนำแก่นายจ้างและคนทำงานเกี่ยวกับการเลือกอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (Personal protective equipment; PPE) เช่น อุปกรณ์ปกป้องระบบหายใจ ถุงมือ รองเท้า หรือแว่นตา ที่มีความเหมาะสม ให้คำแนะนำตามชนิดของสิ่งคุกคามและระดับความเสี่ยงที่คนทำงานจะได้รับ
สมรรถนะเพิ่มเติม
ความรู้และทักษะเหล่านี้จัดว่าเป็นสมรรถนะเพิ่มเติมของแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทย ในหัวข้อการตระหนักรู้ ประเมิน และควบคุมสิ่งคุกคาม แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทยบางคนอาจมีสมรรถนะนี้
สามารถอธิบายกระบวนการทำงานของนักสุขศาสตร์อุตสาหกรรมโดยละเอียดได้ รู้วิธีการในการดำเนินการตรวจติดตามทางสิ่งแวดล้อม (Environmental monitoring) สำหรับสิ่งคุกคามในการทำงานชนิดต่างๆ เช่น แสง (Light), เสียงรบกวน (Noise), อุณหภูมิเวตบัลบ์โกลบ (Wet-bulb globe temperature; WBGT), อนุภาคสารเคมี (Chemical particle), ไอระเหยสารเคมี (Chemical vapor)
รู้วิธีการในการดำเนินการควบคุมทางวิศวกรรม (Engineering control) ของสิ่งคุกคามในการทำงานชนิดต่างๆ
แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ควรสามารถทำงานร่วมกับนายจ้าง ผู้เชี่ยวชาญสาขาอื่น และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย ในการสร้างแผนรับมือเหตุฉุกเฉินขึ้นในสถานประกอบการที่ตนเองรับผิดชอบและชุมชนรอบข้าง พวกเขาควรสามารถเขียนแผนทางการแพทย์สำหรับการรับมือกับเหตุภัยพิบัติในรูปแบบต่างๆ ได้ พวกเขามีความเข้าใจในระบบบัญชาการเหตุการณ์ (Incident command system; ICS) ที่จะใช้เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน พวกเขาสามารถทำงานร่วมกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายในการตอบสนองต่อเหตุการณ์ฉุกเฉิน
สมรรถนะหลัก
ความรู้และทักษะเหล่านี้จัดว่าเป็นสมรรถนะหลักของแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทย ในหัวข้อการเตรียมพร้อมสำหรับเหตุฉุกเฉิน แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทยทุกคนควรมีสมรรถนะนี้
เข้าใจแนวคิดในเรื่องการเตรียมความพร้อมสำหรับเหตุฉุกเฉิน สามารถทำงานร่วมกับนายจ้าง ผู้เชี่ยวชาญสาขาอื่น และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย ในการสร้างแผนรับมือเหตุฉุกเฉินขึ้นในสถานประกอบการที่ตนเองรับผิดชอบและชุมชนรอบข้าง
สามารถเขียนแผนทางการแพทย์เพื่อรับมือกับเหตุภัยพิบัติในหลากหลายรูปแบบ เช่น ไฟไหม้และระเบิด สารเคมีรั่วไหล พายุและน้ำท่วม สถานการณ์โรคระบาด อุบัติเหตุบนท้องถนน หรือการก่อการร้าย
สามารถทำการปฐมพยาบาลคนทำงานที่บาดเจ็บได้ สามารถทำการวางแผนและสอนการปฐมพยาบาลให้กับสถานประกอบการที่ตนเองรับผิดชอบได้
สามารถทำแผนสำหรับกระบวนการขจัดการปนเปื้อนสารเคมี (Chemical decontamination) ในสถานการณ์ฉุกเฉิน สามารถแนะนำนายจ้างเกี่ยวกับจำนวนและตำแหน่งที่ตั้งของจุดล้างตัวที่มีความเหมาะสมในสถานประกอบการที่มีความเสี่ยงได้
สามารถเข้าร่วมการซ้อมแผนฉุกเฉิน (Emergency plan drill) ได้
เข้าใจในระบบบัญชาการเหตุการณ์ (Incident command system; ICS) ที่จะใช้เมื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน
สามารถทำงานร่วมกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายในการตอบสนองต่อเหตุการณ์ฉุกเฉิน สามารถทำงานภายใต้คำสั่งของผู้บัญชาการเหตุการณ์ (Incident commander) สามารถทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการทางการแพทย์ (Medical commander) หรือเป็นส่วนหนึ่งของทีมแพทย์ได้
สามารถทำการสื่อสารความเสี่ยง (หรือให้คำแนะนำต่อผู้บัญชาการเหตุการณ์เกี่ยวกับการสื่อสารความเสี่ยง) ในสถานการณ์ฉุกเฉินได้
สามารถเลือกอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (Personal protective equipment; PPE) ที่เหมาะสม เช่น ชุดป้องกันสารเคมี (Chemical suit), อุปกรณ์ปกป้องระบบหายใจ (Respirator), อุปกรณ์ช่วยหายใจแบบมีถังบรรจุอากาศในตัว (Self-contained breathing apparatus; SCBA) ให้กับผู้ที่ทำหน้าที่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน
สามารถทำการประเมินความพร้อมในการทำหน้าที่ (Fitness-for-duty evaluation) ให้กับทีมรับมือเหตุฉุกเฉิน เช่น ทีมดับเพลิง (Fire team), ทีมตอบสนองเร็ว (First responder team), ทีมรับมือสารอันตราย (Hazardous materials response team หรือเรียกโดยย่อว่า HAZMAT team), และทีมผู้ปฐมพยาบาล (First-aider team) สามารถเปรียบเทียบภาระงาน (Workload) ที่พวกเขาต้องทำในหน้าที่กับสภาวะสุขภาพของพวกเขา มุ่งหมายเพื่อความปลอดภัยของลูกจ้างที่ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่รับมือเหตุฉุกเฉินเหล่านี้
เข้าใจความหมายของคำศัพท์ในเรื่องขีดจำกัดของสารเคมีที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น Lower explosive limit (LEL), Immediately Dangerous to Life or Health (IDLH), Emergency Response Planning Guideline (ERPG) ถ้ามีข้อมูล สามารถใช้ข้อมูลระดับสารเคมีบริเวณจุดเกิดเหตุในการช่วยประเมินความปลอดภัยของทีมรับมือสารอันตราย (HAZMAT team) ใช้เลือกอุปกรณ์ป้องกันที่มีความเหมาะสม และใช้ในการวางแผนอพยพ (ถ้ามีความจำเป็นต้องทำ)
ถ้าได้รับปรึกษา สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับพิษของสารเคมีที่ใช้ในอุตสาหกรรมแก่ผู้ให้บริการทางสุขภาพรายอื่น ที่เป็นผู้รับผิดชอบในการรักษาคนทำงานที่สัมผัสสารเคมีนั้นได้
เข้าใจกระบวนการเฝ้าระวังทางการแพทย์ (Medical surveillance) หลังจากเกิดเหตุภัยพิบัติต่อสถานประกอบการ สามารถออกแบบและทำการเฝ้าระวังทางการแพทย์ให้กับคนทำงานและประชากรที่ได้รับผลกระทบ
เข้าใจกระบวนการเก็บล้าง (Cleanup) หลังจากเกิดเหตุการณ์สารเคมีรั่วไหล สามารถขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญทางด้านสิ่งแวดล้อมให้เป็นผู้มาดำเนินการได้อย่างเหมาะสม
สมรรถนะเพิ่มเติม
ความรู้และทักษะเหล่านี้จัดว่าเป็นสมรรถนะเพิ่มเติมของแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทย ในหัวข้อการเตรียมพร้อมสำหรับเหตุฉุกเฉิน แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทยบางคนอาจมีสมรรถนะนี้
สามารถใช้ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ในการประเมินและวางแผนรับมือเหตุฉุกเฉินที่เกิดจากสารเคมี ตัวอย่างของซอฟต์แวร์ เช่น Computer-Aided Management of Emergency Operations (CAMEO) ซึ่งเป็นชุดซอฟต์แวร์ที่พัฒนาโดย United States Environmental Protection Agency (U.S. EPA) และ National Oceanic and Atmospheric Administration (NOAA)
มีทักษะทางคลินิกในการทำการตรวจจับ (Detection), การประเมิน (Evaluation), การขจัดการปนเปื้อน (Decontamination), การปฐมพยาบาล (First-aid), และการส่งต่อ (Referral) คนทำงานที่ได้รับสัมผัสอาวุธเคมี ชีวภาพ รังสี และนิวเคลียร์ (Chemical, biological, radiological, and nuclear weapons; CBRN weapons) ในสถานการณ์ก่อการร้าย
แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ควรมีทักษะในการจัดการ (Management) ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานด้านอาชีวอนามัย พวกเขาควรสามารถเป็นผู้จัดการแผนงานหรือโครงการทางด้านอาชีวอนามัย ที่จัดขึ้นภายในองค์กรหรือชุมชนที่ตนเองรับผิดชอบอยู่ได้ ซึ่งทักษะนี้จะต้องรวมถึงการจัดการงบประมาณ การตั้งตัวชี้วัดประสิทธิภาพ และการสร้างความร่วมมือกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับแผนงานหรือโครงการทุกฝ่าย พวกเขาควรสามารถจัดการทรัพยากรมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับงานด้านอาชีวอนามัยได้
สมรรถนะหลัก
ความรู้และทักษะเหล่านี้จัดว่าเป็นสมรรถนะหลักของแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทย ในหัวข้อการจัดการ แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทยทุกคนควรมีสมรรถนะนี้
มีความรู้เกี่ยวกับการบริหาร (Administration) และการจัดการ (Management) สามารถประยุกต์ใช้ความรู้เหล่านี้ในการประกอบวิชาชีพของตนเองได้ มุ่งมั่นที่จะสร้างลักษณะของการเป็นผู้นำ (Leadership) เช่น การมีความมั่นใจ (Confidence), วิสัยทัศน์ (Vision), ความจริงใจ (Honesty), ความยืดหยุ่น (Flexibility), ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity), ความคิดเชิงบวก (Positive thinking) และทำการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องในเรื่องนี้
เข้าใจโครงสร้าง วัฒนธรรม และรูปแบบการจัดการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับงานด้านอาชีวอนามัยทั้งในองค์กรภาครัฐและเอกชนในประเทศไทย ซึ่งจะต้องรวมถึงการทำงานทั้งในรูปแบบของโรงพยาบาล โรงงาน และหน่วยงานในชุมชน
สามารถจัดการแผนงานหรือโครงการทางด้านอาชีวอนามัยให้กับองค์กรหรือชุมชนที่ตนเองรับผิดชอบอยู่ได้ ซึ่งการจัดการดังกล่าวจะต้องรวมถึงกระบวนการวางแผน (Planning), การนำไปใช้ (Implementation), การประเมินผล (Evaluation), และการปรับปรุง (Adjustment) ด้วย
สามารถบ่งชี้และประเมินความต้องการบริการทางด้านอาชีวอนามัย (Occupational health service) ให้กับผู้รับบริการหรือกลุ่มประชากรที่ตนเองรับผิดชอบอยู่ได้
สามารถทำการตลาด (Marketing) ให้กับบริการทางด้านอาชีวอนามัย สามารถสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพถึงประโยชน์และคุณค่าของบริการอาชีวอนามัยให้ภายในองค์กรของตนเองทราบได้
สามารถประมาณการ (Estimate), ต่อรอง (Negotiate), และจัดการ (Manage) งบประมาณ (Budget) สำหรับการจัดทำแผนงานหรือโครงการทางด้านอาชีวอนามัย
สามารถตั้งเป้าหมาย (Goal) ของแผนงานหรือโครงการทางด้านอาชีวอนามัย สามารถตั้งตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพหลัก (Key performance indicator; KPI) และใช้มันในการประเมินเป้าหมาย
มีความสามารถในการทำหน้าที่เป็นผู้จัดการ (Manager) หรือผู้อำนวยการ (Director) หรือจัดการงานในบางด้าน (Manage some aspects) ของแผนกหรือหน่วยงานที่ขอบเขตของงานเกี่ยวข้องกับงานด้านอาชีวเวชศาสตร์หรืออาชีวอนามัย ภายในองค์กรที่ตนเองทำงานอยู่
สามารถจัดตั้งแผนกหรือหน่วยงานที่รับผิดชอบเกี่ยวกับงานด้านอาชีวเวชศาสตร์หรืออาชีวอนามัยขึ้นภายในองค์กรที่ตนเองทำงานอยู่ (ถ้ามีความจำเป็น และไม่เคยมีหน่วยงานในลักษณะนี้มาก่อน)
มีทักษะในการทำงานเป็นทีม (Teamwork skills) สามารถทำงานได้ทั้งในฐานะหัวหน้าทีมและลูกทีม สามารถสร้างความร่วมมือกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายที่ทำงานเกี่ยวเนื่องกับการให้บริการทางด้านอาชีวอนามัย ทั้งที่อยู่ภายในและภายนอกองค์กรที่ตนเองทำงานอยู่
เมื่อทำหน้าที่เป็นหัวหน้าทีมทางด้านอาชีวอนามัย สามารถสร้างทีมงานทางด้านอาชีวอนามัยขึ้นได้ สามารถรับสมัคร (Recruit) และรักษาจำนวนสมาชิกในทีม (Maintain team members) สามารถเลือก มอบหมาย กำกับดูแล และประเมินผลงาน บุคลากรที่อยู่ภายใต้การดูแลของตนเองได้
เข้าใจหลักการและกระบวนการในการตรวจประเมิน (Auditing) สามารถทำหน้าที่เป็นผู้ตรวจประเมิน (Auditor) ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับงานด้านอาชีวอนามัยได้
คุ้นเคยกับมาตรฐานและแนวปฏิบัติทางอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย สุขภาพ และสิ่งแวดล้อม เช่น มาตรฐานขององค์กร International Organization for Standardization (ISO) (เช่น ISO 9000 series, ISO 14000 series, ISO 26000), Occupational Health and Safety Assessment Series (OHSAS) 18000, Good manufacturing practice (GMP), และ Hazard analysis and critical control points (HACCP)
สมรรถนะเพิ่มเติม
ความรู้และทักษะเหล่านี้จัดว่าเป็นสมรรถนะเพิ่มเติมของแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทย ในหัวข้อการจัดการ แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทยบางคนอาจมีสมรรถนะนี้
เข้าอบรมหลักสูตรทางด้านการจัดการ เพื่อเพิ่มความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารและการจัดการ รวมถึงความรู้ทางด้านการตลาด (Marketing) และประชาสัมพันธ์ (Public relations) ด้วย
มีประสบการณ์สูงในการจัดการทรัพยากรมนุษย์ (Human resources) เข้าใจในความหลากหลายของอุปนิสัยและทักษะของมนุษย์ เชี่ยวชาญในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Human resource development)
สามารถวางแผนและจัดการกิจกรรมที่เกี่ยวกับความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร (Corporate social responsibility; CSR) ให้กับองค์กรที่ตนเองรับผิดชอบอยู่
แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ควรสามารถจัดทำโครงการสร้างเสริมสุขภาพ (Health promotion program) และโครงการเพื่อสุขภาพดี (Wellness program) ในสถานประกอบการและชุมชนที่ตนเองดูแลรับผิดชอบอยู่ได้ พวกเขาควรสามารถร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพสาขาอื่นๆ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอื่นๆ ในการจัดตั้งทีมงานสร้างเสริมสุขภาพขึ้น พวกเขาสามารถทำการให้สุขศึกษาได้ พวกเขาเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างสุขภาพกับผลิตภาพ (Health and productivity) และยึดมั่นในแนวคิดเรื่องผลิตภาพ (Productivity) ในขณะที่ประกอบวิชาชีพของตนเอง
สมรรถนะหลัก
ความรู้และทักษะเหล่านี้จัดว่าเป็นสมรรถนะหลักของแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทย ในหัวข้อการสร้างเสริมสุขภาพและการเพิ่มผลิตภาพ แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทยทุกคนควรมีสมรรถนะนี้
สามารถบ่งชี้และประเมินความต้องการในการจัดทำโครงการสร้างเสริมสุขภาพ (Health promotion program) และโครงการเพื่อสุขภาพดี (Wellness program) ในสถานประกอบการและชุมชนที่ตนเองดูแลรับผิดชอบได้
สามารถจัดทำโครงการสร้างเสริมสุขภาพและโครงการเพื่อสุขภาพดีในสถานประกอบการและชุมชนที่ตนเองดูแลรับผิดชอบ สามารถร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพสาขาอื่นๆ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอื่นๆ ในการจัดตั้งทีมงานสร้างเสริมสุขภาพขึ้น
สามารถทำการให้สุขศึกษา (Health education) ได้
รู้แนวคิดของโครงการสร้างเสริมสุขภาพและโครงการเพื่อสุขภาพดีที่พบได้บ่อยในสถานประกอบการ เช่น โครงการช่วยเหลือพนักงาน (Employee assistance program; EAP), โครงการลดภาวะอ้วนลงพุง (Metabolic syndrome program), หรือโครงการปลอดยาเสพติด (Drug-free program) รู้ข้อดี (Advantage), ข้อจำกัด (Limitation), ความคุ้มค่า (Cost-effectiveness), และคุณค่า (Value) ของโครงการเหล่านี้
เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างสุขภาพกับผลิตภาพ (Health and productivity) ยึดมั่นในแนวคิดเรื่องผลิตภาพ (Productivity) ในขณะที่ประกอบวิชาชีพของตนเอง สนับสนุนคนทำงานที่มีปัญหาสุขภาพทุกคนให้ยังคงสามารถทำงานได้ ให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
สมรรถนะเพิ่มเติม
ความรู้และทักษะเหล่านี้จัดว่าเป็นสมรรถนะเพิ่มเติมของแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทย ในหัวข้อการสร้างเสริมสุขภาพและการเพิ่มผลิตภาพ แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทยบางคนอาจมีสมรรถนะนี้
สามารถดำเนินการจัดการผลิตภาพ (Productivity management) ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องสุขภาพได้ สามารถบ่งชี้ปัญหาสุขภาพที่มีผลกระทบต่อผลิตภาพในระดับประชากรในสถานประกอบการที่รับผิดชอบ สามารถจัดทำโครงการหรือกิจกรรมทางด้านสุขภาพ มุ่งหมายเพื่อการเพิ่มผลิตภาพของคนทำงานได้
สามารถร่วมมือกับบุคลากรฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ในการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อตรวจจับปัญหาจากภาวะการขาดงาน (Absenteeism), ภาวะการมาทำงานในขณะที่เจ็บป่วย (Presenteeism), และภาวะอัตราการเข้าออกจากงานสูง (High turnover rate) สามารถบ่งชี้ได้หากปัญหาเหล่านี้มีสาเหตุมาจากสภาวะสุขภาพหรือสภาพการทำงานที่ไม่ดี สามารถให้คำแนะนำแก่บุคลากรฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ในการจัดการกับปัญหาเหล่านี้ด้วยความเหมาะสม
แม้ว่าสมรรถนะของแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในหนังสือเล่มนี้จะจัดทำโดยคณะแพทย์อาชีวเวชศาสตร์เอง แต่ในการจัดทำก็ไม่ได้ละเลยความคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับแพทย์อาชีวเวชศาสตร์กลุ่มอื่นๆ เช่น ผู้รับบริการ [10,13,28] และเพื่อนร่วมงาน [14] ชุดของสมรรถนะในหนังสือเล่มนี้มุ่งหมายให้เป็นแนวทางที่ดีในการทำงานของแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ส่วนใหญ่โดยทั่วไป แต่ในบางกรณีจำเพาะ (เช่น แพทย์ทหาร) อาจมีความต้องการสมรรถนะอื่นนอกเหนือไปจากนี้ได้
หนังสือเล่มนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องสมรรถนะเพียงอย่างเดียว อย่างไรก็ตาม มันไม่ได้เป็นปัจจัยเพียงอย่างเดียวที่ทำให้แพทย์อาชีวเวชศาสตร์มีคุณภาพชีวิตในการทำงานที่ดี ถึงแม้ว่าแพทย์จะมีสมรรถนะที่ต้องการทั้งหมดแล้วก็ตาม ยังคงมีปัจจัยอื่นๆ ที่มีอิทธิพลต่อการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและมีความพึงพอใจในงานของพวกเขาด้วย เช่น การได้รับการยอมรับในที่ทำงาน การได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสมกับความสามารถ การมีบรรยากาศการทำงานที่ดี หรือการมีความก้าวหน้าในอาชีพ องค์กรที่ต้องการจ้างและเก็บรักษาแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ไว้ในองค์กรนั้น จะต้องพิจารณาถึงปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความพึงพอใจในงานของพวกเขาด้วย [29]
การได้รับวุฒิแพทย์เฉพาะทางสาขาอาชีวเวชศาสตร์นั้นเป็นสิ่งที่มีคุณค่า [30] แพทย์ที่มีวุฒิเฉพาะทางสาขานี้มีแนวโน้มที่จะมีเส้นทางในอาชีพที่ดี [31-32] ด้วยการมีชุดของสมรรถนะในหนังสือเล่มนี้เป็นแนวทาง ถือว่าเป็นโอกาสอันดีของแพทย์ในประเทศไทยที่มีความสนใจในสาขาวิชานี้ ที่จะได้นำไปใช้ในการพัฒนาความรู้และทักษะของตนเอง
วิวัฒน์ เอกบูรณะวัฒน์, ฉัตรชัย เอกปัญญาสกุล, โยธิน เบญจวัง. แพทย์เฉพาะทางสาขาอาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทย ปี พ.ศ. 2551. วารสารความปลอดภัยและสุขภาพ 2552;2(8):50-9.
พุทธิชัย แดงสวัสดิ์, วิวัฒน์ เอกบูรณะวัฒน์, ดุสิต จันทยานนท์, ฉันทนา จันทวงศ์. การสำรวจจำนวนบุคลากรด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในประเทศไทย ปี พ.ศ. 2557. ธรรมศาสตร์เวชสาร 2558;15(3):393-405.
Occupational Health and Safety Bureau, Department of Labour Protection and Welfare, Ministry of Labour. National profile on occupational safety and health of Thailand, 2012. Nonthaburi: Ministry of Labour (Thailand); 2012.
Cloeren M, Gean C, Kesler D, Green-McKenzie J, Taylor M, Upfal M, et. al. American College of Occupational and Environmental Medicine's Occupational and Environmental Medicine Competencies-2014: ACOEM OEM Competencies Task Force. J Occup Environ Med 2014;56(5):e21-40.
WHO European Centre for Environment and Health. Occupational Medicine in Europe: Scope and Competencies. Bilthoven: WHO European Centre for Environment and Health; 2000.
Macdonald EB, Ritchie KA, Murray KJ, Gilmour WH. Requirements for occupational medicine training in Europe: a Delphi study. Occup Environ Med 2000;57(2):98-105.
The Australasian Faculty of Occupational & Environmental Medicine (AFOEM). The competencies [Internet]. 2015 [cited 2015 Dec 28]. Available from: https://www.racp.edu.au/docs/default-source/default-document-library/afoem-competencies-summary.pdf.
Mori K, Nagata M, Hiraoka M, Kudo M, Nagata T, Kajiki S. Surveys on the competencies of specialist occupational physicians and effective methods for acquisition of competencies in Japan. J Occup Health 2015;57(2):126-41.
Ngamkiatphaisan S, Promdit B, Prapansilp M, Sithisarankul P. The role and expectation of corporate physicians in occupational health services in Thailand. Chulalongkorn Medical Journal 1999;43(7):457-74.
Sithisarankul P, Ngamkiatphaisan S, Promdit B, Prapansilp M. Comparison of current practice and expectations in occupational health services between corporate physicians’ and managers’ perspectives in large-scale enterprises in Thailand. Chulalongkorn Medical Journal 1999;43(9):655-64.
Plianpairoj C, Sithisarankul P. A survey on physicians who were board-certified or had certificate of proficiency in occupational medicine. Chulalongkorn Medical Journal 2006;50(6):387-93.
ณรงฤทธิ์ กิตติกวิน, อดุลย์ บัณฑุกุล, สุธีร์ รัตนะมงคลกุล. การสำรวจความคิดเห็นของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านอาชีวเวชศาสตร์เกี่ยวกับสมรรถนะของแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในประเทศไทยด้วยเทคนิคเดลฟายแบบปรับปรุง. ธรรมศาสตร์เวชสาร 2556;13(2):181-94.
Promdit B, Ngamkiatphaisan S, Prapansilp M, Sithisarankul P. Occupational health administration and manager’s expectation towards occupational physician’s role among corporate enterprises in Thailand. Chulalongkorn Medical Journal 1999;43(10): 723-37.
ยุทธนา ยานะ, สุนทร ศุภพงษ์. บทบาทหน้าที่ของแพทย์ประจำสถานประกอบการ จากมุมมองของเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ในเขตนิคมอุตสาหกรรมแถบชายฝั่งทะเลตะวันออก ประเทศไทย. ธรรมศาสตร์เวชสาร 2558;15(2):218-24.
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา. ประมวลกฎหมายอาญา [อินเตอร์เน็ต]. 2562 [เข้าถึงเมื่อ 30 ม.ค. 2562]. เข้าถึงได้จาก: http://web.krisdika.go.th/data/law/law4/%bb06/%bb06-20-9999-update.pdf.
แพทยสภา. คำประกาศสิทธิและข้อพึงปฏิบัติของผู้ป่วย. 12 สิงหาคม พ.ศ. 2558.
กฎกระทรวง กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการตรวจสุขภาพของลูกจ้างและส่งผลการตรวจแก่พนักงานตรวจแรงงาน พ.ศ. 2547. ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 122 ตอนที่ 4 ก. (ลงวันที่ 29 ธันวาคม 2547).
พระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558. ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 132 ตอนที่ 86 ก. (ลงวันที่ 10 สิงหาคม 2558).
ประกาศกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการจัดทำมาตรการอนุรักษ์การได้ยินในสถานประกอบกิจการ. ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 135 ตอนพิเศษ 134 ง. (ลงวันที่ 9 พฤษภาคม 2561).
พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541. ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 115 ตอนที่ 8 ก. (ลงวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2541).
พระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554. ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 128 ตอนที่ 4 ก. (ลงวันที่ 12 มกราคม 2554).
พระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. 2537. ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 111 ตอนที่ 28 ก. (ลงวันที่ 15 มิถุนายน 2537).
พระราชบัญญัติควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2562. ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 136 ตอนที่ 67 ก. (ลงวันที่ 19 พฤษภาคม 2562).
International Commission on Occupational Health (ICOH). International Code of Ethics for Occupational Health Professional. 3rd ed. Rome: ICOH; 2014.
สำนักงานกองทุนเงินทดแทน สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน. คู่มือแนวทางการประเมินการสูญเสียสมรรถภาพทางกายและจิต ฉบับเฉลิมพระเกียรติในโอกาสการจัดงานฉลองสิริราชสมบัติครองราชย์ 60 ปี. ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 3. นนทบุรี: สำนักงานกองทุนเงินทดแทน สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน; 2549.
ประกาศกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เรื่อง ประเภทและหลักเกณฑ์ความพิการ. ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 126 ตอนพิเศษ 77 ง. (ลงวันที่ 30 เมษายน 2552).
ประกาศกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เรื่อง ขีดจำกัดความเข้มข้นของสารเคมีอันตราย. ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 134 ตอนพิเศษ 198 ง. (ลงวันที่ 28 มิถุนายน 2560).
Reetoo KN, Harrington JM, Macdonald EB. Required competencies of occupational physicians: a Delphi survey of UK customers. Occup Environ Med 2005;62(6):406-13.
Plomp HN, van der Beek AJ. Job satisfaction of occupational physicians in commercial and other delivery settings: a comparative and explorative study. Int J Occup Med Environ Health 2014;27(4):672-82.
Harber P, Wu S, Bontemps J, Rose S, Saechao K, Liu Y. Value of occupational medicine board certification. J Occup Environ Med 2013;55(5):532-8.
Baker BA, Katyal S, Greaves IA, Rice HR, Emmett EA, Meyer JD, et. al. Occupational medicine residency graduate survey: assessment of training programs and core competencies. J Occup Environ Med. 2007;49(12):1325-38.
Harber P, Bontemps J, Saechao K, Wu S, Liu Y, Elashoff D. Career paths in occupational medicine. J Occup Environ Med 2012;54(11):1324-9.